นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการดำเนินการกับร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องที่กระทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่งว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้จัดส่งข้อมูลร้านค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีแล้วทั้งสิ้น 1,024 ราย โดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษร้านค้าและประชาชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 85 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของ สตช. และ ปอศ. และจะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อไป
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ศาลแขวงบางบอนมีคำพิพากษากรณีพนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีศาลแขวง 10 ฟ้องนางกัญจน์ญาภัท เส็งดอนไพร เจ้าของร้านขายของชำในกรุงเทพมหานครที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งและผู้ร่วมกระทำความผิดอีก 6 ราย ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเงินโครงการคนละครึ่ง โดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกกระทงละ 1 เดือน และปรับกระทงละ 5,000 บาท ส่งผลให้เจ้าของร้านได้รับโทษจำคุกรวม 52 เดือน ปรับ 260,000 บาท ส่วนผู้เกี่ยวข้องได้รับโทษจำคุกคนละ 8-17 เดือน ปรับคนละ 40,000-85,000 บาท โดยให้รอลงอาญาโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี
นอกจากการดำเนินคดีอาญาดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเรียกคืนเงินจากผู้กระทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่งตามจำนวนที่กระทรวงการคลังได้โอนให้ร้านค้าตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ซึ่งกรณีร้านกัญจน์ญาภัท เส็งดอนไพรจะต้องคืนเงินจำนวน 76,050 บาท ให้กระทรวงการคลัง และจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการอื่นของกระทรวงการคลังได้อีก
โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้มีการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการต่างๆ ของกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด เช่น โครงการเราชนะ เป็นต้น หากตรวจพบการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ จะมีการระงับสิทธิและดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงขอความร่วมมือประชาชน และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงการคลังปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เสียสิทธิการเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการอื่นของกระทรวงการคลังในอนาคตและถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอีกด้วย