คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย แม้ว่าการแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในปี 2024 จะยังคงมีเวลาเหลืออยู่อีกสามปีกว่าๆก็ตาม แต่ความตั้งใจของทั้ง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” และ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” สองขั้วคู่ไม้เบื่อไม้เมาต่างก็ออกมาแสดงท่าทีบอกใบ้กลายๆไปในทิศทางเดียวกันแล้วว่า ทั้งคู่มีความประสงค์ที่จะลงแข่งขันเลือกตั้ง สำหรับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างเป็นทางการไปแล้วเป็นครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2021 นี้ เป็นเวลานานถึง 62 นาที โดยเขาได้กล่าวยืนยันว่า “ข้าพเจ้าจะลงเลือกตั้งในปี 2024” และเขายังได้เอ่ยปากแซวค่ายพรรครีพับลิกันแบบหยิกแกมหยอกว่า “ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นจะยังมีพรรครีพับลิกันอยู่หรือไม่” ส่วนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ออกมาบอกใบ้ติดต่อกันหลายๆครั้งว่าอาจจะลงแข่งขันประธานาธิบดีในปี 2024 เช่นเดียวกันด้วย หากเป็นเช่นนั้นจริงๆการแข่งขันประธานาธิบดีในปี 2024 ก็คงจะสนุกน่าลุ้นน่าติดตาม เพราะจะกลายเป็นการแข่งขันเลือกตั้งแบบศึกช้างชนช้างอย่างแน่นอน!!! และตอนนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็จะมีอายุ 82 ปี และหากว่าเขามีโอกาสได้รับเลือกอีกหนึ่งสมัย เขาก็จะมีอายุถึง 86 ปีก่อนที่จะเดินก้าวขาออกจากทำเนียบขาว ส่วนในค่ายพรรครีพับลิกันนั้น ก็คงจะมีนักการเมืองหลายๆคนที่หวังตั้งใจลงสนาม เพื่อประลองแข่งขันเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคด้วยเช่นกันนอกเหนือจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แล้วก็คงจะมี “อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ พอมปิโอ” ในยุคสมัยของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเขาผู้นี้ได้เริ่มออกโรงเดินสายหาเสียงเป็นคนแรกในพรรครีพับลิกัน และยังมี นิกกี้ เฮลีย์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติสมัยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และยังมีนักการเมืองอื่นๆอาทิเช่นอดีตผู้ว่าฯรัฐนิวเจอร์ซี คริส คริสตี, อดีตผู้ว่าฯแลรี โฮแกน จากรัฐแมรีแลนด์ ไม้เบื่อไม้เมาคู่อริกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มาโดยตลอด และผู้ว่าฯรอน เดอร์ซอนติส นักการเมืองดาวรุ่งหน้าใหม่ของพรรครีพับลิกัน จากรัฐฟลอริดา อย่างไรก็ตามถือได้ว่าขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เปรียบเหนือโดนัลด์ ทรัมป์หลายขุม เนื่องจากเขาอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีแค่เพียง 60 กว่าวันก็ตาม แต่เขาได้รับคะแนนนิยมค่อนข้างสูงคืออยู่ที่ 56% ทั้งๆที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่เคยได้รับคะแนนนิยมเกิน 50% ในช่วงสี่ปีขณะดำรงตำแหน่งด้วยซ้ำไป!!! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีโรคระบาดโควิด 19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในสหรัฐฯประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ไม่รีรอหยิบยกเอาเป็นปัญหาเร่งด่วน รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเข้าขั้นวิกฤติ และเขายังได้ให้คำมั่นสัญญาในวันที่ออกมาปรากฏตัวให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวว่าในวันครบ 100 วันของการรับตำแหน่งว่ามีคนอเมริกันได้รับการฉีดวัคซีนเกี่ยวกับโรคโควิด-19ไปอย่างน้อย 200 ล้านคน และสภาวะเศรษฐกิจนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดนคาดหวังว่าจะเข้าสู่ปกติเช่นกัน โดยจำนวนผู้ว่างงานในปีสุดท้ายของประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็คงจะลดลงเหลือเพียง 4.3% จากที่มีอยู่ 6.7% ขณะนี้ นอกจากนั้นแล้วในการให้สัมภาษณ์ในวันนั้นประธานาธิบดีไบเดนก็ยังได้แสดงความผิดหวังที่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯที่ขณะนี้อยู่ในอันดับที่ 13 ของโลกโดยขณะนี้ประเทศจีนก็ได้ลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าสหรัฐฯไปแล้วถึงสามเท่าตัว อีกทั้งประธานาธิบดีไบเดนก็ยังรู้สึกห่วงและกังวลที่มีสะพานถึง 231,000 แห่งต้องซ่อมแซม ถนนไฮเวย์ 186,000 ไมล์อยู่ในลักษณะที่เลวร้ายที่สุด สายการบินล่าช้าถึง 20% และแม้กระทั่งท่อน้ำที่ส่งผ่านไปให้หกถึงสิบล้านครัวเรือนก็ตรวจพบว่ามีสารตะกั่วเจือปน ซึ่งเขาได้เอ่ยปากกล่าวอึดอัดมากๆที่นักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันต่อต้านข้อเสนอที่จะต้องทุ่มงบประมาณ 3-4 ล้านล้านเหรียญ เพื่อใช้ในการปรับโครงสร้างพื้นฐาน และหากว่าสภาคองเกรสจะให้ความร่วมมือยอมให้ผ่านงบก้อนมหึมานี้ได้ โอกาสที่สหรัฐฯจะสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆให้กลับมาเป็นประเทศมหาอำนาจระดับต้นๆดั่งเดิมก็ย่อมมีความเป็นไปได้สูง อนึ่งเมื่อปี 2017 อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เคยปฏิรูปภาษีมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่กล้บปรากฏว่าเขาทำเพื่อเอื้ออำนวยให้กับกลุ่มเศรษฐีผู้มีอันจะกินและธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เขาลดอัตราภาษีลงจาก 32% เหลือเพียง 21% มีผลทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างได้รับผลพลอยได้อย่างมากมายมหาศาล ดังเช่นในปี 2018 Apple ประหยัดเงินจ่ายค่าภาษีไปได้มากถึง 4.5 พันล้านเหรียญ ธนาคารอเมริกาประหยัดได้ถึง 2.4 พันล้านเหรียญ และ Verizon ประหยัด 1.75 พันล้านเหรียญ เป็นต้น และแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นที่นิยมในบรรดาฐานอำนาจของสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่างล้นหลามก็ตาม แต่ “ดร.มารี ทรัมป์” หลานสาวของเขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันคาดว่าลุงของฉันอาจจะลงแข่งขัน แต่ต่อมาเขาคงจะประกาศถอนตัว เพราะคงกลัวว่าจะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง” นอกจากนั้นแล้วเธอก็ได้ให้ความเห็นต่อไปว่า ลุงของฉันคงทำทีเป็นตั้งใจลงแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นแหล่งหาเงินเข้ากระเป๋าได้เป็นอย่างดีเยี่ยม เหมือนดั่งครั้งที่เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งและได้ออกมาอ้างว่าเขาถูกโกงโดยเขาได้เรียกร้องขอรับเงินบริจาคเพื่อใช้ต่อสู้คดี มีผลทำให้เขาได้รับเงินบริจาคมากกว่า 150 ล้านเหรียญเข้ากระเป๋า อีกทั้งเธอกล่าวต่อไปอีกว่า ลุงของฉันยังต้องการกุมอิทธิพลในพรรครีพับลิกันเอาไว้ ในมือ แต่ต้องไม่ลืมว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงมีคดีติดตัวอยู่อีกหลายๆคดี ที่มีทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง โดย “อัยการไซรัส แวนส์” แห่งนครแมนฮัตตัน ได้ทำการสอบสวนพฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ติดต่อกันมากว่าสองปี ซึ่งขณะนี้ศาลสูงสุดสหรัฐฯเพิ่งอนุญาตให้อัยการแวนส์และทีมของเขาสามารถเข้าไปทำการตรวจสอบหลักฐานการเสียภาษีในรอบ 10 ปีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอัยการนครแมนฮัตตันได้ออกมาเปิดเผยว่า “จะตั้งข้อหากรณีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์โกงภาษีหรือไม่นั้น คงจะมีการประกาศในเร็วๆวันนี้” อนึ่ง “ซูซาน เคริก” นักข่าวของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ก็ได้ออกมาเปิดโปงเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2020 ว่า “10 ในจำนวน15 ปีที่ผ่านมาอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เคยเสียภาษีให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯเลย” แต่ในปีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาว เขาจ่ายเงินเสียภาษีให้แก่รัฐบาลกลางเพียง 750 เหรียญเท่านั้น!!! ส่วนคดีอาญาสองคดีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่กำลังถูกดำเนินอยู่ที่รัฐจอร์เจีย ซึ่งเกี่ยวโยงกับการที่เขาพยายามผลักดันให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจอร์เจียหาจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้กับเขามาเพิ่มเติม เพื่อหวังจะพลิกผลการเลือกตั้งนั่นเอง สำหรับกรณีที่ม็อบกลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าไปยังรัฐสภาของสหรัฐฯเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อหวังผลักดันให้อดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ไม่ยอมรับผลการนับคะแนนนั้น ก็ยังคงมีการสืบสวนหาหลักฐานกันอยู่ โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ก็อยู่ในข่ายว่ามีส่วนเข้าไปยั่วยุปลุกปั่นให้ฝูงม็อบบุกรัฐสภา และขณะนี้ผู้ประท้วงที่ถูกตั้งข้อหาในคดีอาญามีมากกว่าสองร้อยคนแล้ว คราวนี้ลองหันมาดูคะแนนนิยมระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากนิตยสาร Newsweek ที่ทำการหยั่งเสียงระหว่างวันที่ 20 ถึง 23 มีนาคม 2021 และเพิ่งเปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 26 มีนาคมนี้ว่า คนอเมริกันที่เป็นฐานเสียงสนับสนุนพรรคเดโมแครตชื่นชมประธานาธิบดีไบเดนอยู่ที่ 70% ส่วนฐานเสียงผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันและมีความนิยมชมชอบอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อยู่ที่ 61% โดยนิตยสาร Newsweek ได้สรุปว่า หากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ลงแข่งขันกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนในปี 2024 เป็นที่แน่นอนว่าเขาจะต้องพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้งคราหนึ่ง !!! และเนื่องจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นนักการเมืองที่เหยียดสีผิวอย่างโจ่งแจ้งและหลังจากการที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์บงการให้ม็อบบุกรัฐสภา มีผลทำให้นักการเมืองพรรครีพับลิกันต่างเรียงแถวออกมาทยอยประกาศเรื่อยๆว่า “จะไม่ลงเลือกตั้งกลางสมัยในปีหน้า” อีกทั้งจากการรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2021 ก็ระบุอีกเช่นกันว่าฐานเสียงผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันถอดใจเลิกนิยมชมชอบไปแล้วกว่าหนึ่งแสนสี่หมื่นคนใน 25 รัฐ กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อวิเคราะห์แนวโน้มจากการเปรียบเทียบการบริหารประเทศระหว่าง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” กับ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ดูแล้ว เห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดว่า แสนจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสามารถสรุปได้อีกเช่นกันว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์สอบไม่ผ่าน เนื่องจากในรอบสี่ปีที่อยู่ในทำเนียบขาวคะแนนนิยมของเขาไม่เคยขึ้นสูงกว่า 50% เลย ส่วนคะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขณะนี้อยู่ที่ 56% และนับวันก็คงจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และหากว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีโอกาสสามารถได้เข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการลงแข่งขันกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน อีกครั้งหนึ่งก็ตาม แต่โอกาสที่ทรัมป์จะได้รับชัยชนะก็คงจะมีน้อยนิดเต็มทีละครับ