นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความระบุว่า...ถึง น้องมายด์ ภัสราวลี และส.ศิวรักษ์ ( แต่นึกถึงน้องช่อ พรรณิการ์ด้วย ) เมื่อค่ำวานได้ฟังนางสาวภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือน้องมายด์ ขึ้นปราศรัยที่เวทีราชประสงค์ ท่ามกลางสื่อมวลชนและผู้ชุมนุม ข้าพเจ้าเชื่อว่านักคิดนักเขียนนักวิชาการ ครูบาอาจารย์ และนักการเมืองที่หมายล้มสถาบันต่างตั้งใจฟังหรือย้อนฟังข่าวเรื่องนี้ น้องมายด์ทำตัวเสมือนจิกด่า ตวาด เกรี้ยวกราด พุ่งเป้าโจมตีไปที่สถาบันและเฉพาะเจาะจงถึงพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง และใช้วิธีการต่อรองแกมบังคับพระเจ้าอยู่หัว (ทรงต้องปรับปรุงพระองค์)ใน 3 หัวข้อ ที่น้องมายด์เข้าใจผิดคิดว่าพระองค์ท่านทรงเข้าไปเกี่ยวข้อง 1.เรื่องการทหาร และการแยกกองทัพเอาไปเป็นของพระองค์ท่าน 2.เรื่องการเข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายทางการเมือง 3.เรื่องเงินหรือทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (เรียกคืนให้เป็นของประชาชน คิดเฟื่องๆเหมือนอยากให้เป็นของสาธารรัฐแบบรัฐสวัสดิการ หรือร้ายสุดคือคอมมิวนิสต์) เรื่องที่น้องมายด์กล่าวปราศรัยนี้ไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องใหม่ และเคยถูกอธิบายมาหลายครั้งแล้ว แม้แต่ฝ่ายที่มีพฤติกรรมคิดจะล้มเจ้าหลายคนไม่ว่าจะเป็น เพนกวิน อานนท์ รุ้ง ก็พูดถึงเรื่องเหล่านี้จนถูกตอบโต้แล้วเงียบหายไป ข้าพเจ้าในฐานะผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ไม่เชื่อในสิ่งที่น้องมายด์ใส่ร้ายป้ายสีพระองค์ท่านเพราะไม่มีเหตุผลกลใดที่จะทรงทำเช่นนั้น ที่น่าสงสัยก็คือการที่เธอ (น้องมายด์) ห่างหายไปจากเวทีพักใหญ่ก็นึกว่าจะไปทำการบ้านหรือไปซุ่มอ่านเอกสารหลักฐานอะไรแล้วนำมาแฉบนเวที แต่กระนั้นก็เปล่าเลย สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับฟังเมื่อคืนก็มีเพียงแค่วาทกรรมและลมปากที่ซ้ำซากบิดเบี้ยวไปทั้งกระบวนการในความคิด แม้ในตอนท้ายน้องมายด์เธอได้อ่านคำโคลงสองบทก่อนจบ ข้าพเจ้ายังเข้าใจว่าถ้าเธอแต่งได้ก็นับว่าเก่งมาก แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อ เพราะต้องมีใครสักคนแต่งใส่มือเธอหรือเธอไปลอกใคร? แล้วนำมาอ่าน เพราะการใช้คำราชาศัพท์นั้นถ้าเธอมีความรู้ที่จะแต่งได้จริง ในการปราศรัยเธอต้องพูดราชาศัพท์ได้ถูกต้อง แต่เราจะเห็นได้ว่าเธอพูดผิดเสมอๆ ถ้าน้องมายด์หวนไปศึกษาประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ในเหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึกไว้ เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 62 เวลาประมาณ 12.00 น. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร แปรพระพักตร์สู่ทิศบูรพา มีพระปฐมบรมราชโองการ "เราจะสืบสานรักษาและต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป" พระสุรเสียงอันก้องกังวาลย่อมเป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย ในรัชกาลที่ 10 ของพระบรมราชจักรีวงศ์ ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เช่นเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนหน้าซึ่งเป็นสมเด็จพระราชบิดาของพระองค์ท่าน หาได้มีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างที่น้องมายด์กล่าวหาพระองค์ท่านอย่างเลื่อนลอยบนเวทีราชประสงค์ และกิริยาอาการคำพูดที่ยกตนข่มท่าน จนไม่อาจเชื่อเลยว่านี่คือหญิงไทยที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากบิดามารดา ความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เช่นนี้ย่อมเป็นความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าและซ้ำซาก เหมือนที่เธอได้แสดงคำปราศรัยกล่าวหาในหลายครั้งจนเป็นที่ประจักษ์ สิ่งที่ข้าพเจ้าเสียใจอย่างมากก็คือกรณี ส.ศิวรักษ์ ที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ( 5 ธันวาคม 2560) ทรงมีพระราชปฏิสันถารในเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง เรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เรื่องมาตรา 112 (ที่กล่าวถึงกันนี้) เรื่องการพระศาสนา แต่กระนั้น ส.ศิวรักษ์ก็มิได้กล่าวถึง 3 เรื่องนี้ที่ทรงมีพระราชดำริในพระราชหฤทัยที่ทรงเห็นว่าสมควรที่จะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปในทางที่ดีทันยุคทันสมัย การพบปะพูดคุยของ ส.ศิวรักษ์กับแกนนำคณะราษฎร 63 หลายครั้งหรือการพบปะกับบรรดาครูบาอาจารย์ นักการเมืองผู้อยู่เบื้องหลังม็อบ หรือแม้แต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ที่ ส.ศิวรักษ์ไปเป็นเซอร์ไพรส์ในม็อบที่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ตรงแยกรัชโยธิน ในวันนั้นน้องมายด์ก็ได้ขึ้นเวทีปราศรัยและอยู่ด้วยตามรายงานของตำรวจสันติบาล แต่ ส.ศิวรักษ์ไปในฐานะอะไรนั้นคงไม่สำคัญ ถ้าแม้มีน้ำใจไมตรีจะว่ากล่าวตักเตือนบรรดาแกนนำเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเคยมีพระมหากรุณาธิคุณกับเขาบ้าง บางทีสถานการณ์แกนนำเหล่านี้คงไม่มีสภาพอย่างปัจจุบัน ทำไม คนอย่าง ส.ศิวรักษ์ จึงไม่มีเมตาแบบนั้น แต่กลับใช้เคราะห์กรรมของเด็กๆไปว่ากล่าวสถาบันและรัฐบาล มันแปลกดี อีกเรื่องกรณีไผ่ดาวดินซึ่ง ส.ศิวรักษ์ดูจะโปรดปรานเป็นพิเศษถึงกับลงทุนหอบสังขารไปร่วมเดินทะลุฟ้าลงนรกกับมัน ทั้งๆที่ใครก็รู้ว่าไผ่ดาวดินเคยต้องคดี 112 และยังกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส.ศิวรักษ์กลับไม่ใส่ใจหรือแสดงความเศร้าใจที่เด็กๆเหล่านั้นต้องได้รับโทษ ไผ่ดาวดินกับ อาจารย์ฝรั่ง ม.ขอนแก่นคนนึงที่เคยขึ้นเวทีอภิปราย 112 มีความสัมพันธ์อันดีกับไผ่ ให้การสนับสนุน ส่วน ส.ศิวรักษ์จะมีความสัมพันธ์ด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่มีคนรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่า ปีหน้ามีงานสำคัญในชีวิตของส.ศิวรักษ์ ที่ข้าพเจ้าจะทำเรื่องเข้าไปคัดค้านให้ถึงที่สุด ...... ท้ายที่สุดนี้ เสียดายที่น้องมายด์คงไม่ซึมซับความรับรู้ องค์ความรู้ใดๆ ประวัติศาสตร์อะไรๆต่อมิอะไรในเหตุการณ์ที่ผ่านมาของกลุ่มคณะราษฎร 63 อันเป็นกลุ่มก้อนของตัวเองเลย จึงตัดสินใจที่จะทำลายอิสรภาพของตัวเองเมื่อคืนนี้แบบเข้าใจผิด โง่เขลาเบาปัญญาในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ตนก็ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ การไปสถานทูตก็ดีหรือการไปวัดก็ดีก็มิได้ทำให้น้องมายด์เข้าใจในชีวิต แต่ไปสร้างภาพเสียมากกว่า และสถานทูตจะไปช่วยอะไรได้ เพราะประเทศไทยมีอธิปไตยเป็นของตนเอง เสียดายที่น้องมายด์ไม่ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของระบบทุนนิยมกับเจ้าสัวทั้งหลายในประเทศไทย ออกมาจากเรือนจำได้เมื่อไหร่ช่วยไปเรียนรู้เรื่องนี้เพิ่มเติมด้วย และจงจำไว้ว่า สหรัฐอเมริกายังต้องง้อไทยในเรื่องธุรกิจ ธุรกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งมีอำนาจเหนือการเมือง เมื่อข้าพเจ้าเห็นน้องมายด์ยืนอยู่บนเวที ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงผู้หญิงอีกคนนึงคือน้องช่อ พรรณิการ์ นึกถึงทั้งวิธีการนำเสนอ และวิธีการแต่งโคลง แต่เธอไม่กล้าขึ้นเวทีก็เท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูล และรูปภาพจากเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayorm