ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย เมื่อโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา ซึ่งสำหรับชาวตะวันตก ถือว่าเป็นดินแดนใหม่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากร แต่ดินแดนแห่งนั้นมิได้รกร้างว่างเปล่าปราศจากผู้คน ทว่าดินแดนแห่งนั้นมีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ และมีวัฒนธรรมที่เจริญก้าวหน้าพอสมควร เช่น ในอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ก็มีชนเผ่าเอสเทค อินคา และมายัน ส่วนในอเมริกาเหนือก็มีชนเผ่าพื้นเมืองที่ฝรั่งเรียกว่าอินเดียนแดงอยู่หลายชนเผ่า แต่ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหาร สินแร่ มีค่าอย่างทองคำ ทำให้ชาวตะวันตกจำนวนมากอพยพกันไปเพื่อแสวงโชคและตั้งรกราก ในอเมริกากลางและใต้สเปนเป็นผู้ไปบุกเบิกและส่งกองทหารไปจัดการเข่นฆ่าชาวพื้นเมืองเพื่อแย่งยึดเอาทองคำกลับมา การเข่นฆ่าจึงเป็นไปอย่างชนิดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แถมยังเอาโรคระบาดไปเผยแพร่ตั้งแต่โรคหวัดจนถึงกามโรค ทำให้คนพื้นเมืองที่ไม่มีภูมิคุ้มกันล้มตายกันเป็นเบือ ในอเมริกาเหนือ ชาวตะวันตกก็เข้าไปรุกรานคนพื้นเมืองต่างๆนานา เช่น การเข่นฆ่าฝูงควายไบซัน ที่เป็นอาหารหลักของอินเดียนแดง ที่แต่เดิมมีนับล้านตัว จนเหลือไม่กี่ร้อยตัว เพื่อเอาหนังไปทำการค้าขาย ผลิตกระเป๋า รองเท้า ทำให้อินเดียนแดงอดอยากยากแค้น จนต้องก่อสงคราม แต่ก็นั่นแหละชาวตะวันตกมีอาวุธที่ทันสมัยกว่า และจัดตั้งเป็นกองกำลังทำให้ชาวพื้นเมืองต้องพ่ายแพ้และถูกกลืนกินไปทีละเผ่าสองเผ่า ที่เหลือก็ถูกส่งไปยังเขตสงวนกักไว้เหมือนกับเป็นสัตว์ ครั้นอเมริกาเหนือเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมก็ได้นำเอาชาวแอฟริกามาเป็นทาสเพื่อใช้แรงงาน ทั้งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม เช่น ไร่ฝ้าย ไร่ข้าวโพด จนมาถึงยุคปัจจุบันสัดส่วนของคนผิวดำก็มีจำนวนมากไม่น้อยกว่า 20% ของประชากร แต่ทว่าการเหยียดผิว ความเกลียดชังทางสีผิวของคนขาวที่มีต่อคนผิวสีก็ยังคงแพร่กระจายอยู่ในหมู่คนขาวที่ถือตนว่าเหนือกว่า ดังนั้นจึงเกิดปัญหาการเลือกปฏิบัติ และการกดขี่คนผิวสีเป็นระยะตลอดมา ดังเช่นกรณีตำรวจที่ทำร้ายคนผิวดำแบบเกินกว่าเหตุ และถึงตายที่ทยอยเกิดเป็นระยะ ทำให้เกิดการประท้วงรุนแรง วางเพลิงปล้นสะดมจากคนผิวดำ หรือแม้แต่การจัดตั้งเป็นกองกำลัง เช่น Black Panther จนมาถึง Antifa หรือ BLM ส่วนชาวผิวขาวหัวรุนแรงก็มีการจัดตั้งกองกำลังก่อกรรมทำเข็ญกับคนผิวสี เช่น KLU KLUK KLAN จนมาถึงกลุ่ม Proud boys เป็นต้น อย่างไรก็ตามความโกรธความเกลียดและการแบ่งแยกสีผิวมิได้มีเฉพาะกับคนผิวดำ-ผิวขาว แต่ยังแพร่ระบาดไปสู่คนเชื้อสายละติน (อเมริกากลาง-ใต้) และคนเอเชีย ซึ่งในระยะหลังคนเอเชียที่อพยพเข้าไปอยู่ในสหรัฐฯมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญประสบความสำเร็จทางธุรกิจเป็นปึกแผ่นมากขึ้น แม้ทางการเมืองจะไม่โดดเด่นเท่าคนผิวดำ แต่ด้วยฐานะที่มั่งคั่งเป็นปึกแผ่นทำให้เป็นที่อิจฉาริษยาของคนกลุ่มอื่นๆ ไม่เฉพาะจากคนขาวแต่บางทีก็มีทั้งคนผิวดำและละตินที่เขม่นมอง คนเอเชียที่เข้าไปอยู่ในสหรัฐฯส่วนใหญ่จะจับกลุ่มกันอยู่อาศัยเป็นกลุ่มก่อน เช่น ชาวจีนอยู่ในถิ่นไชน่าทาวน์ ชาวเวียดนาม ชาวเกาหลี ชาวญี่ปุ่น และชาวไทย นอกจากจะจับกลุ่มกันแล้ว ก็ยังมีการสร้างแก๊งทำธุรกิจผิดกฎหมายเป็นอั้งยี่มาเฟีย คุมการพนัน ยาเสพติด รีดไถ่ เรียกค่าคุ้มครองก็ไม่น้อย ส่วนที่ประกอบธุรกิจโดยสุจริตก็เจริญมั่งคั่ง และมีพื้นฐานการศึกษาที่ดี ในอันดับต้นๆ จึงมีงานอาชีพที่ดีและมั่นคง มีความรู้ความสามารถ ทั้งนี้ด้วยกฎหมายของสหรัฐฯที่เปิดช่องให้ในการให้ความคุ้มครองกับชนกลุ่มน้อย ยิ่งทำให้กลุ่มชาวเอเชียได้รับประโยชน์เพิ่มเติม จนทำให้เป็นที่อิจฉา ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นมีการพัฒนาสูงมาก และได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีคุณภาพประหยัดราคาสมเหตุผล ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในดีทรอยต์ทรุดตัว ต้องปลดคนออกจำนวนมาก กระทั่งเกิดกระแสการต่อต้านคนญี่ปุ่นในประเทศ แต่ฝรั่งเขาแยกไม่ออกระหว่างคนเอเชีย โดยเฉพาะคนจีนกับญี่ปุ่น เลยถูกเหมารวมแอนตี้กันไปหมด ในยุคนั้นประมาณ 1970-1980 เคยเกิดเรื่องราวที่คนผิวขาวรุมซ้อมชาวจีน เพราะนึกว่าเป็นญี่ปุ่น จนเสียชีวิตที่เมืองดีทรอยต์ และศาลท้องถิ่นก็เข้าข้างเรียกปรับเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญ แต่ระบบกฎหมายของสหรัฐฯนั้นเขามีการถ่วงดุลที่ดี ญาติผู้ตายจึงไปฟ้องศาลของรัฐในเรื่องสิทธิพลเมือง จนชนะคดี คนทำผิดติดคุก และต้องจ่ายชดเชยเป็นจำนวนมาก ครั้นมาในยุคนี้สหรัฐฯกับจีนก็มีปัญหาขัดแย้งกันเรื่องดุลการค้า ซึ่งจีนเกินดุลมาตลอด ทำให้อุตสาหกรรมบางอย่างของสหรัฐฯ ต้องปิดตัวคนตกงานก็เลยเกิดอารมณ์โกรธ พาลโทษจีนและคนจีนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ความเกลียดความโกรธนี้นำมาสู่การระบายความคลั่งแค้นกับชาวเอเชียโดยทั่วไปเพราะแยกไม่ออกระหว่างคนจีนกับชาติอื่นๆ ยิ่งในระยะหลังๆความโกรธเกลียด คลั่งแค้นมันแพร่กระจายออกไปในรูปการเข่นฆ่าโดยไร้เหตุผล มิหนำซ้ำอาวุธปีนในสหรัฐฯก็อาจซื้อหาได้โดยง่าย เพราะอุตสาหกรรมอาวุธปืนมีอิทธิพลสูงในการล็อบบี้ทางการเมือง จนกฎหมายควบคุมการมีอาวุธปืนที่เข้มงวดไม่อาจผ่านออกมาได้ ประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็มีชายสูงวัย ชาวไทย ถูกวัยรุ่นรุมทำร้ายเพราะความเกลียดจนเสียชีวิตแถบแคลิฟอร์เนีย ตามมาด้วยชายชราอีกคนถูกทำร้ายจนปางตายในรถไฟใต้ดิน และตามมาด้วยอาม่าชาวจีนถูกชายผิวขาวทำร้ายแต่เธอสู้ด้วยไม้เท้า และตำรวจเข้ามาระงับเหตุได้ทัน เมื่อไม่กี่วันก่อนก็เกิดการกราดยิงในสปา 3 แห่ง ที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน ในจำนวนนั้นเป็นชาวเอเชียถึง 6 คน ล่าสุดเกิดเหตุกราดยิงในซูปเปอร์มาร์เก็ตคิงส์ ชูเปอร์ ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปถึงที่เกิดเหตุ 1 นาย ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบ แต่การกราดยิงหรือวางระเบิดเพราะความเกลียดชังไม่ว่าจะมาจากสีผิว ความคิดต่าง หรือวิกลจริตด้วยความเกลียดชังเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ถี่บ้างห่างบ้าง จนทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯกลายเป็นสังคมที่อุดมไปด้วยความเกลียด ความโกรธ การแบ่งแยกทั้งสีผิวและความเห็นต่างกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น และได้เกิดการจลาจลมาแล้วเพราะความเกลียด จนทำให้เสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างกรณีนายจอร์จฟลอยด์ ก็ได้เกิดมาแล้ว และยังคงจะมีอีกต่อไป แม้ว่าผู้ก่อเหตุในกรณีกราดยิงที่โรงนวด 3 แห่งในแอตแลนตา จะให้การปฏิเสธว่าสาเหตุที่กราดยิงมิใช่เรื่องการเหยียดผิว แต่ความจริงที่ว่าหกในแปดคนของผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงเอเชีย โดยผู้ก่อเหตุนายโรเบิร์ต ชารอน ลอง อายุ 21 ปี อ้างว่ามูลเหตุจูงใจเกิดจากการเสพติดเซ็กซ์และเป็นวันที่อารมณ์ไม่ดี แต่คอนนี หวัน ผู้ร่วมก่อตั้ง AAPI WOMEN LEAD และนักวิจัยเกี่ยวกับการก่อความรุนแรงกับผู้หญิงผิวสี กล่าวว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกการเหยียดผิว กับการบ้ากาม ในกรณีกราดยิงที่แอตแลนตา จากงานวิจัย เรื่องเซ็กซ์ และการก่อความรุนแรงเรื่องเซ็กซ์ต่อผู้หญิงผิวสีมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกัน ที่เกิดขึ้นทั่วโลก สังคมอเมริกันกำลังระส่ำระส่ายไปด้วยการคุระอุของความเกลียดชัง ระหว่างสีผิว ความคิดเห็นต่างทางการเมือง และความผสมปนเปความเกลียดชังกับความเดือดร้อนทางธุรกิจ การทำงาน ที่พวกตนประสบปัญหา แม้จะมีการรณรงค์ให้พยายามสร้างความสมานฉันท์และหยุดปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง แต่หากว่าไม่มีการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง การระเบิดอารมณ์อันมีมาจากหลายสาเหตุ อาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่ที่สำคัญคือช่องว่างทางรายได้และฐานะทางสังคม อันเกิดจากระบบทุนนิยมผูกขาด ตราบใดที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ตราบนั้นสังคมสหรัฐฯก็คงจะต้องผจญกับการปะทุของความโกรธความเกลียดซึ่งกันและกัน ในขณะที่อาวุธปืนหาได้ง่ายมาก สำหรับประเทศไทยแม้ปัญหาจะแตกต่าง แต่สัญญาณการปลุกระดมสร้างความเกลียดความโกรธระหว่างผู้คิดเห็นต่างทางการเมืองชนชั้นทางสังคม ตลอดจนความเชื่อความศรัทธาทางศาสนา แบบสุดโต่ง กำลังจะนำไทยไปสู่ภัยพิบัติในที่สุด