วันที่ 23 มี.ค.64 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk ระบุว่า ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ยากลำบากนี้ ต้องเปิดประตูให้กว้าง เลิกแบ่งเขาแบ่งเรา เพื่อเอาบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าให้ได้ โดยไม่ต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลอยหน้าลอยหน้าไม่รับผิดชอบ แล้วยังท้าทายประชาชนให้ไปแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งที่รู้ว่ากลไกสำคัญอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ เองทั้งสิ้น อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เห็นชอบคนเดียวก็แก้ไม่ได้อยู่แล้วในทางปฏิบัติ อย่ามาอ้างอิสระเสรีมันเคยมีอยู่จริงหรือ จึงขอชวนพี่น้องมาร่วมกันในวันที่ศุกร์ 26 มี.ค. ที่สมาคมนักข่าวมาร่วมแสดงความคิดเห็นหาทางออกพาประเทศให้พ้นวิกฤตได้ แต่ตนมีจุดยืนชัดเจนว่า ปัญหาบ้านเมืองทั้งหมด และรัฐธรรมนูญไม่มีวันแก้ไขได้ ตราบใดที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่
“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยู่รัฐธรรมนูญก็แก้ไขได้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ อยู่รัฐธรรมนูญไม่มีวันแก้ไขได้ ผมจึงเชื่อว่า จะจัดการปัญหากันได้ก่อนในสนามประชาชน ดังนั้น ทุกฝ่ายควรเอาชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง วางความรู้สึกลง มิเช่นนั้น เราก็อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไปอีกนาน”
นายจตุพร กล่าว่า ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ จะได้ระดมความคิดเห็นกันหาทางออกของประเทศทั้งด้านปัญหาเศรษฐกิจ แก้รัฐธรรมนูญ และในสถานการณ์นี้ จะรักษาชาติบ้านเมืองไว้อย่างไร ต้องคิดอ่านกัน ถ้าคิดแต่เรื่องของตัวเองแล้ว ก็ควรให้ พล.อ.ประยุทธ์ ปกครองประเทศนี้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และอาจเป็นนายกฯยาวนานกว่า จอมพลป.พิบูลสงครามก็ได้ โดยเฉพาะปรากฎการณ์แก้รัฐธรรมนูญไม่ผ่านนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรับผิดชอบก่อน รองลงมาเป็นพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย แต่กลับแสดงความดีใจ และมาท้าทายประชาชนอีก มันบ้า และแปลกประหลาดยิ่ง ฉะนั้น คนไทยต้องสามัคคีกัน มาแสดงความคิดเห็นหาทางออกประเทศร่วมกัน
“พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการแก้รัฐธรรมนูญในทำนองว่า ถ้าแน่จริงแก้ให้สำเร็จ ซึ่งสะท้อนถึงการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมรู้ดีว่า ต้องใช้เสียง 1 ใน 3 ของส.ว.ทั้งหมด หรือจำนวน 84 เสียง อีกทั้งยังนำแถลงเป็นนโยบายเร่งด่วนในการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลด้วย แต่เมื่อ รัฐธรรมนูญไม่สามารถแก้ไขตามแถลงนโยบายได้
แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ควรอับอายและต้องแสดงความรับผิดชอบ แต่กลับมาพูดเหมือนดีใจ ในลักษณะท้าทายประชาชน ว่า แน่จริงไปแก้ไขมาสิ นี่เป็นประเทศอะไรไม่รู้แล้ว ผมเคยอธิบายมาหลายครั้งแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ พูดในที่ประชุมสภา 2 ครั้งคือ แถลงนโยบาย และเมื่อเกิดการชุมนุมใหญ่ยังยืนยันจะแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จในเดือนธันวาคม แต่แนวทางปฏิบัติกลับพูดอย่างทำอย่าง
กลับมี ส.ว.และส.ส.รองหัวหน้าพรรค พปชร.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา แล้วคำวินิจฉัยไม่ชัดเจน มีแต่ความอึมครึมไม่รู้ว่าให้ทำอะไรได้และไม่ได้ กระทั่งถึงการลงมติวาระ 3 มีการลงมติรับด้วยเสียง 208 เสียง จาก ส.ส. 206 คนและ ส.ว.2 คน จึงทำให้การแก้ รธน.คว่ำชนิดหัวคะมำ”
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ที่น่าประหลาดคือ คนที่เสนอแทนที่รับผิดชอบกลับมาส่งเสียงไชโยโห่ร้อง แล้วพยายามตามเอาเรื่องกับคนที่ลงมติเห็นชอบอีกด้วย ถ้าเป็นบรรยากาศประชาธิปไตยปกติแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องลาออก เพราะนี่เป็นนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเสนอไม่ผ่านที่ประชุมของรัฐสภา ”
นายจตุพร กล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นการเล่นการเมืองอย่างไร้ยางอาย ตนจึงบอกว่า ปัญหาของชาติอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งแถลงนโยบายและยืนยันจะเสร็จในเดือนธันวาคม แล้วยังมาท้าทายให้แก้ให้สำเร็จอีก นอกจากนี้ยังท้าทายถึงการสืบทอดอำนาจด้วย ถ้านักการเมืองแก้ไขรายมาตราอีกจะถูกหลอกเหมือนเดิม โดยไปดูปรากฏการณ์ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งตายอย่างไรก็ตายแบบนั้นอีกเช่นกัน