วันที่ 8 ก.ย.60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่า สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูรทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี นาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด และด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่ทรงคุณอเนกอนันต์ และสร้างสุขแก่ปวงประชา จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้จัดทำ โครงการ “จิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ” ขึ้น ตามที่ผมได้นำมากล่าวในรายการนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ทราบว่าปัจจุบัน มีพี่น้องประชาชน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ในหลากหลายอาชีพ ต่างมาสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เป็นจำนวนมาก ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระรูปพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ขณะทรงร่วมทำกิจกรรมจิตอาสา ร่วมกับข้าราชบริพารในช่วงวันหยุดเรียน โดยทรงทรงกวาดลานวัด, ทรงทำความสะอาดรอยพระพุทธบาทจำลองและบริเวณรอบใต้ฐานพระพุทธรูป, ทรงเช็ดถูกระจกหน้าต่างวัด, ทรงถูพื้นด้วยพระองค์เอง และถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นต้น พร้อมทั้ง ทรงให้กำลังใจ “จิตอาสาเฉพาะกิจฯ” ทุกคนว่า “สู้ๆครับผม” อีกด้วยครับ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ “ทรงพระเจริญ” พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ, ช่วงของการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ในยุคดิจิทัลนี้ หากเปรียบประเทศไทยเป็นคอมพิวเตอร์แล้ว ผมเห็นว่า “ส่วนประกอบต่างๆ ของประเทศ” จำเป็นต้องได้รับการ “อัพเกรด – ยกระดับ” ทั้งระบบนะครับ ก็เพื่อจะให้ประเทศของเรา ได้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน บน “โลกดิจิทัล” ได้ นะครับ ส่วนประกอบเหล่า นั้น ได้แก่... 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) เช่น โครง สร้างพื้นฐานทั้งปวง ต้องลงทุนขนาดใหญ่ เพื่ออนาคต อาทิ ด้านการคมนาคมขนส่ง และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 2. ซอฟท์แวร์ (Software) ก็คือ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ซึ่งเราจะต้องปรับปรุงให้ทันสมัย, เพื่อจะอำนวยความสะดวกต่อการให้บริการประชาชน, ไม่เป็นอุปสรรคต่อภาคการค้า การลงทุน และป้องกัน “ไวรัส คือการทุจริต” นะครับ 3. ทรัพยากรมนุษย์ (Peopleware) คือ การยกระดับคุณภาพชีวิต และการพัฒนาศักยภาพให้เป็น “คนไทย 4.0” ด้วยการศึกษา สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาและตลาดแรงงานของประเทศ อีกทั้ง 4. ระบบปฏิบัติการ OS ก็คือ โครงสร้างระบบราชการ ที่ต้อง “อัพเดท” ให้ทันสมัย ทันโลก ทันเทคโนโลยี อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการทำงาน ระหว่าง Peopleware – Software –Hardware ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งรัฐบาลนี้ “ยกเครื่อง” ระบบปฏิบัติการใหม่ ให้เป็นการขับเคลื่อนประเทศด้วย “กลไกประชารัฐ” ซึ่งข้าราชการจะเป็น “ผู้ประสานงาน ผู้อำนวยความสะดวก” ไม่ใช่เพียง “ผู้คุมกฎ” เหมือนในอดีตที่ผ่านมานะครับ ทั้งนี้ “กลไกประชารัฐ” ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน เป็นสำคัญ วันนี้ผมก็อยากจะเพิ่มเรื่อง “สื่อมวลชน” ด้วยนะครับ ทั้งสื่อกระแสหลักที่มีสังกัด และสื่อออนไลน์ที่ไร้สังกัด รวมทั้ง “ภาควิชาการ” เข้าไปอยู่ในกลไกประชารัฐของเราอีกด้วยนะครับ โดยเฉพาะ “ภาควิชาการ” นั้น ในหลวงรัชกาลที่ 10 เคยมีรับสั่งให้ส่งเสริมสนับสนุน “มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.)” อย่างเต็มที่ ใน 2 เรื่องหลักๆ คือ (1) การผลิตและพัฒนาครู จะต้องวางระบบที่ดี และ (2) ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏ ทำหน้าที่พัฒนาท้องถิ่น แต่ละแห่งของตน ซึ่งต้องวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆด้วย ในการนี้ รัฐบาลนี้ ได้น้อมนำพระราชดำรัสดังกล่าว นับเป็นอีก “ศาสตร์พระราชา” เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ โดยมีแนวทางให้ทั้งมหาวิทยาลัยต่างๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏ สถาบันอุดมศึกษา และอาชีวศึกษาต่างๆ ต้องมีบทบาท ใน “เชิงวิชาการ” คงไม่เพียงแต่ผลิต “บัณฑิต นักศึกษา” สู่ตลาดแรงงานของท้องถิ่นของตน และประเทศเท่านั้น แต่ยังคงต้องมีส่วนร่วมในการวิจัย พัฒนา และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ที่สอดคล้องกับศักยภาพของตนเองท้องถิ่นด้วย “คลัสเตอร์” ภาคการผลิต ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมทั้ง “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” ทั้ง 10 แห่ง ซึ่งมีเป้าหมายให้เป็น “ฐานการผลิต” ที่แตกต่างกันออกไปตามศักยภาพของแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีเป้าหมายที่ปลายทาง คือ การกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่มากระจุกตัวอยู่เฉพาะกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ๆ ที่เป็น “หัวเมือง” ของภูมิภาคเท่านั้น พี่น้องประชาชน แรงงาน นักเรียน นักศึกษา จะได้กลับไปใช้ชีวิต ประกอบอาชีพ ณ ถิ่นฐานของตน อยู่กับครอบครัวของตน ไม่ต้องเสี่ยงภัย แสวงโชคในเมืองใหญ่ อีกต่อไป ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้า สังคมก็จะเข้มแข็งนะครับ สำหรับคำว่า “ราชภัฏ” ซึ่งหมายถึง “คนของพระราชา ข้าของแผ่นดิน” นั้น ย่อมมีนัยสำคัญ ที่ลึกซึ้งเปรียบเสมือนว่า “สถาบันราชภัฏ มหาวิทยาลัยราชภัฏ” หรือ “วิทยาลัยครู” ในอดีต จะเป็นผู้ทำงานถวาย และสนองพระราชกรณียกิจ ในเรื่องที่สำคัญๆ เพื่อพัฒนาประชาชนทุกหมู่เหล่า ให้ได้มีโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาตนเองในทุกๆด้าน ช่วยให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกสถานที่รวมถึงชุมชนสังคมที่ส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่นๆยังเข้าไม่ถึง หรือละเลยในการเข้าไปพัฒนาอย่าต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทาน “ตราประจำพระองค์” หรือ “พระราชลัญจกร” เพื่อให้เป็น “ตราประจำสถาบัน” ของทุกมหาวิทยาลัยราชภัฏได้ใช้มาจนตราบทุกวันนี้นะครับ ดังนั้น ผมจึงอยากให้มหาวิทยาลัยราชภัฏได้ภาคภูมิใจ และทุ่มเทพลังกาย พลังใจ พลังสมอง ในการสนองพระราชปณิธานของ “ในหลวง” รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ของปวงชนชาวไทย รวม ทั้งทุกสถาบันการศึกษา ได้ดำเนินการในบทบาทเพิ่มเติมของตน ที่เป็นส่วนหนึ่งของ “กลไกประชารัฐ” เพื่อการพัฒนาประเทศของเราในอนาคตด้วยนะครับ ฝากช่วยริเริ่ม ช่วยดำเนินการด้วยนะครับ ให้ทุกคนรักที่อยู่ ที่อาศัย ภูมิลำเนาของตนเอง แล้วก็คาดหวังว่าจะพัฒนาได้อย่างไร ก็จะไปสู่การเรียนรู้นะครับ แล้วก็การศึกษาที่สอดคล้องต้องกันกับสิ่งที่ผมพูดไปแล้วนะครับ พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ, ในการวางรากฐานด้านโครงสร้างสู่ “เศรษฐกิจ 4.0” เรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือการวางโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ หรือ “โครงการเน็ตประชารัฐ” ทั้งนี้ก็เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐได้ดีขึ้น, สร้างโอกาส สร้างอาชีพ เช่น ในเรื่องของการขายสินค้าและให้บริการต่างๆ, เปิดช่อง ทางการเข้าสู่ถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชนรวมถึงการศึกษาค้นคว้าของภาคเอกชนและภาควิชาการ เป็นต้น ทั้งนี้ กว่า 70,000 หมู่บ้านทั่วประเทศพบว่าเกินกว่า 50% หรือ 40,000 กว่าหมู่บ้าน ที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์และยังไม่มีบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ในจำนวนนี้มี 3,920 หมู่บ้าน ไม่มีบริการอินเตอร์เน็ตและยากต่อการเข้าถึง ดังนั้น รัฐบาลจึงได้วางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนี้ มาตั้งแต่ห้วงปลายปีที่แล้ว โดยมุ่งเน้นยกระดับการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแก่หมู่บ้านเหล่านี้เป็นความเร่งด่วนลำดับแรก และก็เป็นที่น่ายินดี วันนี้ผมได้รับรายงานว่าในเบื้องต้น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ส่งมอบการติดตั้งอินเตอร์ เน็ตในหมู่บ้านแล้วกว่า 11,250 หมู่บ้าน โดยส่วนที่เหลือก็จะได้ทยอยดำเนินการต่อไปนะครับ นอกจากนี้ อีกโครงการหนึ่งที่รัฐบาลทำคู่ขนานกันไปคือ โครงการดิจิทัลชุมชนด้าน e-Commerce โดยบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ร่วมกันดำเนินการ เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนขายสินค้าและบริการของท้องถิ่นในรูปแบบออนไลน์ได้ ในอนาคตอีกไม่นานต่อจากนี้นะครับ สำหรับความคืบหน้าโครงการนี้ ก็ได้มีการสำรวจร้านค้าในชุมชน รวมทั้งประเมินความพร้อมของจุดรับลงทะเบียนสินค้า และคำสั่งซื้อสินค้า ครอบคลุม ทุกจังหวัด ทั่วประเทศแล้ว ให้ติดตามกันนะครับ โดยในขั้นตอนต่อไป จะเป็นการพัฒนา “ระบบe-Market Place กลาง” ที่จะเป็นฐานข้อมูลสินค้าชุมชนซึ่งต่อไปภาคเอกชน ร้านค้ารายน้อยใหญ่ ก็จะสามารถเลือกเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าดังกล่าว ไปวางขายในพื้นที่ e-Market Place ของตัวเองได้ อีกทั้ง ก็จะมีการพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านค้า (Point of Sale), ระบบ e-Logistics นะครับ ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบ Prompt Pay ที่คนไทยเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้วในปัจจุบันนะครับ และระบบ e-Payment ในทำนองเดียวกับที่ไปรษณีย์ไทยดำเนินการอยู่ในเว็บไซต์ “ไทยแลนด์-โพส-มาร์ท” นะครับ(www.thailandpostmart.com)นั่นเองครับ / ซึ่งผมก็ได้เร่งรัดให้โครงการนี้ ดำเนิน การให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ก็จะได้ช่วยให้พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ได้ขายสินค้าของตนได้ “โดยตรง” สู่ผู้บริโภคและร้านค้าขนาดใหญ่ ทั้งผลิตผลทางการเกษตร หรือสินค้า OTOP, สินค้าพื้นบ้าน, สินค้าประจำท้องถิ่น ซึ่งเป็นศิลปหัตถกรรม ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น สินค้า GI เป็นต้น ก็เพื่อเป็นอีกช่องทางในการจำหน่ายสินค้า เพื่อจะสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชน ไม่ว่าอยู่มุมใดของประเทศ ก็จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วยนะครับ ว้าเหว่ ไม่มีกำลังใจ เพราะรัฐบาลนี้ มีนโยบายว่า เราต้องทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงคนทั้งประเทศนะครับ เราไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลังนะครับ ทุกคน ทุกชุมชน ก็จะได้มีส่วนช่วยกัน ในการจะสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ ตั้งแต่ในระดับของตน ไปจนถึงระดับชาติ เป็น “ห่วงโซ่คุณค่า” เดียวกัน เกิดความยั่งยืนต่อไปนะครับ ตามแนวทาง “เศรษฐกิจ 4.0” ที่รัฐบาลได้ตั้งใจไว้ เราต้องสร้างความเชื่อมโยงกันให้ได้นะครับ วันนี้หลายเวทีในต่างประเทศก็พูดถึงเรื่องนี้นะครับ การสร้างความเชื่อมโยงนะครับ สำหรับใน “ระยะยาว” รัฐบาลนี้ ได้ยกร่างแผนปฏิบัติการดิจิทัลนะครับ เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2560 ถึง 2564 และร่างแผนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2560 ถึง 2564 ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่นะครับ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ยาก หากทุกฝ่ายร่วมมือกันนะครับ หาหนทางปฏิบัติให้ได้ และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราก็สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลานะครับ ตามสถานการณ์โลก สถานการณ์ภายใน ภายนอกของดรานะครับ แล้วผมก็จะหาโอกาสมาเล่ารายละเอียดให้พี่น้องฟังในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ผมก็ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงทีเกี่ยวข้อง ได้เตรียมแผนงาน การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม ที่คู่ขนานกันไปด้วยนะครับ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันที ไม่อย่างนั้นก็พอสร้างเสร็จแล้ว ก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อจะดำเนินการต่อ ผมให้คิดไปพร้อมกันเลย เมื่อติดได้ครบแล้ว ก็ไปใช้ประโยชน์อย่างที่เราต้องการได้นะครับ ประชาชนก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลาอีกนะครับ พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ, ในการที่จะสร้างความเจริญเติบโตให้กับประเทศ อย่างยั่งยืนและสมดุลนั้น นอกเหนือไป จากยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน หรือทีเรียกว่า “ระเบิดจากข้างใน” แล้วนั้น เราต้องคำนึงถึงยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ “กิจการต่างประเทศ” ด้วยนะครับ ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าเราไม่สามารถละเลยสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้น ณ ส่วนใดของโลกก็ตาม เพราะสิ่งเหล่านั้น ย่อมจะส่งผลทั้งทางตรง หรือทางอ้อม ต่อบ้านเมืองของเรา ประชาชนของเรานะครับ ในมิติต่างๆ อาทิ ความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ หรือสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบจาก “เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิทัล” นะครับ ที่ขยายความเชื่อมโยงกันทั่วโลก เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ มากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนนะครับ เช่น เรื่องราคาสินค้าเกษตรของไทย ที่ตกต่ำมานาน ก็เป็นผลมาจากราคาในตลาดโลกที่อยู่ในระดับต่ำมาตั้งแต่ช่วง “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” นะครับ หรือในประเด็นความไม่แน่นอน ของเวทีการเมืองต่างประเทศ เช่น BREXIT นะครับ หรือประเด็นความกังวลในเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นและตลาดการเงินทั่วโลก ที่มีผลติดต่อหรือมีผลต่อเนื่องมายังตลาดการเงินไทยนะครับ รวมทั้งการดำเนินนโยบายของชาติมหาอำนาจ หรือประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะขยับอะไร ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้า, การส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้อีกด้วย ดังนั้น ความเชื่อมโยง “เรากับโลก” นั้นเราจะต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประชาคมโลก ให้มากยิ่งขึ้น อย่างเหมาะสม และสมดุล จึงมีความสำคัญยิ่ง นะครับ วันนี้ถ้าเรามุ่งหวังแต่เพียงค้าขายระหว่างกันเท่านั้น คงไม่เพียงพอนะครับ ต้องมีการเชื่อมโยง มีการช่วยเหลือ มีการสนับสนุน มีการค้าการลงทุนในลักษณะ ต่างตอบแทนซึ่งกันและกันนะครับ จะเพิ่มมูลค่าทั้งสองด้าน เราจะหวังแต่เพียงว่าเอาข้าเราขึ้นข้างเดียวไม่ได้ แม้กระทั่งในเรื่องการท่องเที่ยวก็ตามนะครับ วันนี้เราก็ต้องมีการท่องเที่ยวในแบบแพคเกจบ้าง คือให้เพิ่มทั้งสองทางนะครับ รวมให้เกิดมูลค่ามากขึ้นนะครับ จัดที่ท่องเที่ยว ของแต่ละประเทศแล้วมาเชื่อมโยงกันนะครับ เชื่อมโยงกับประเทศอื่นด้วย ในทั้งต้นทางและปลายทาง ก็ทำให้สามารถเกิดการสัญจรไปมาของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญนะครับ สามารถที่จะไปเยี่ยมเยือนกันได้ ไปท่องเที่ยวกันได้ทั้งปีนะครับ จะเพิ่มมูลค่าขึ้นทั้งสองด้าน สองทางนะครับ เราจะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง รอบคอบนะครับ ในเรื่องการดำเนินนโยบายต่างประเทศ “ควบคู่” ไปกับการสร้างความแข็งแกร่ง และความมีเสถียรภาพของประเทศ เหตุการณ์ภายในของเราก็เช่นกันนะครับบางอย่างถ้าไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตาย ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากนักก็อย่าช่วยกันประโคมข่าวกันมากนักเลยนะครับ ทำให้ต่างประเทศเขามองเราว่าไม่ยุติกันเสียที หลายอย่างก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมนะครับ ก็ให้เขาดำเนินการไป ติดตามไป รอผลออกมานะครับ ไม่อย่างนั้นมีผลกระทบไปทั้งสิ้นกับความเชื่อมั่น และการดำเนินการทางต่างประเทศ ที่ผมไปนั้นช่วงต้นสัปดาห์ ผมก็ได้เดินทางไปร่วมหารือกับมิตรประเทศต่างๆ ถึง “2 ครั้ง 2 ครา” ด้วยกันนะครับ ซึ่งผมอยากมาเล่าสู่กันฟัง ว่าสิ่งที่ประชาคมโลกและประเทศเพื่อนบ้านของเราให้ความสำคัญ มีอะไรบ้าง แล้วบทบาทและจุดยืน นโยบายของไทย ควรจะเป็นอย่างไร เราต้องเอาของเขามาดูด้วยนะครับ เราคิดของเรา เราคนเดียวก็ไม่ได้อะไรหรอกครับเพราะว่าเขาไม่ได้ตกลงด้วย ไม่ได้ยินยอมด้วย เราต้องร่วมมือกันอย่างไร ก็ต้องหาแนวทางให้ได้ ที่จะช่วยกระชับความร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กันและกัน พึ่งพากัน และ “เดินหน้าไปด้วยกัน” นะครับ ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกันนะครับ เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องของประเด็นอ่อนไหวต่างๆ ก็ไม่ควรจะพูดอกไปในเวทีใหญ่นะครับ หรือเวทีสื่อประชาสัมพันธ์อะไรก็แล้วแต่ ไม่ควรพูดนะครับ บางเรื่องก็เป็นการพูดหารือเพื่อจะแก้ปัญหา หรือคณะ ครม. ร่วม คณะกรรมาธิการร่วม ในการแก้ปัญหาแต่ละเรื่องๆ อย่าเอาทุกอย่างมาปนกันหมดนะครับ ทำให้การเดินหน้าต่างประเทศมีปัญหา แล้วในประเทศก็จะมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั้นนะครับ สำหรับการประชุมแรก เป็นการประชุมระหว่างผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS นะครับ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมีบทบาทในเวทีโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบไปด้วย บราซิล - รัสเซีย - อินเดีย - จีน –และแอฟริกาใต้กับประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ที่เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีนนะครับ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งใน 5 ประเทศ “นอกกลุ่ม BRICS” นะครับ ที่ได้รับเชิญไปร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เราก็มองได้ว่านะครับ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาท และความสำคัญ ในด้านความเชื่อมโยงของไทย ที่มีต่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญๆ เหล่านี้ โดยในส่วนการประชุมของประเทศ BRICS นั้น มีหัวข้อหลัก ก็คือ“ความเป็นหุ้นส่วน เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น” ซึ่งมีประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ได้แก่ (1) การขยายความมีส่วนร่วม อย่างทั่วถึง ในระบบธรรมาภิบาลโลก (2) การขับเคลื่อนโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ ที่เปิดกว้าง ครอบคลุม สมดุล และยั่งยืน (3) การสร้างความเชื่อมโยงในระดับประชาชน และ (4) การพัฒนาเชิงสถาบัน โดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติจริงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกประเทศ ทั้งผู้สนับสนุน และผู้รับการสนับสนุนก็ต้องหารือซึ่งกันและกันนะครับ ว่ามันต้องการอะไรกัน และเราให้อะไรกันได้ ก็ต้องไปเจรจากัน พูดคุยกันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ในโอกาสที่ผมได้พบปะหารือ กับประธานาธิบดีของจีน แบบ “ทวิภาคี” ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น และน่าประทับใจ โดยท่านประธานาธิบดี สี จิ้งผิง ได้แสดงออกถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ท่านได้กล่าวว่าไทยกับจีนนั้นเหมือน คนในครอบครัว, เป็นพี่-เป็นน้องกัน ของทั้ง 2 ประเทศ ไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวต่างๆก็เป็นจำนวนมาก คนไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทยก็เป็นจำนวนมาก จีนยอมรับในการตัดสินใจของเรา ไม่ได้ใช้อำนาจ ไม่ได้ใช้ในฐานะมหาอำนาจเพื่อมาบังคับเรา ยอมรับในการตัดสินใจของเราในทุกๆเรื่อง และ เชื่อมั่นในแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาล วันนี้ว่าเหมาะสมกับบริบทของเรา ในช่วงที่มีการปฏิรูป พร้อมทั้ง จะยึดมั่น และดำรงรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ ในความร่วมมือ และ การแลกเปลี่ยนระหว่างกัน ในทุกระดับ ในอนาคตต่อไป ผมก็จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขอขอบคุณท่านประธานาธิบดีของจีนด้วยนะครับ สำหรับในส่วนของประเทศไทย เราได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศเกิดใหม่ และ ประเทศกำลังพัฒนา ที่หารือกันในเรื่องของ “การเสริมสร้างความร่วมมือ เพื่อการเติบโตร่วมกัน” โดยมุ่งเน้นการดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนค.ศ. 2030 ที่หลายๆ ท่านเรียกกันติดปาก ว่า SDG 2030 รวมทั้ง เสริมสร้างความร่วมมือ ในด้านการให้ความช่วยเหลือ ระหว่างประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศเริ่มพัฒนา ด้วยกันเอง ให้มากขึ้น ซึ่งหลักคิดที่ผมนำมาใช้ในการหารือเรื่องนี้ เริ่มจากการที่เราได้เห็น กระแสต่อต้านโลกาภิวัฒน์ มากขึ้น เริ่มมีหลายประเทศ ที่ไม่อยากอยู่รวมกลุ่ม โดยเห็นว่า “การรวมกลุ่ม” มีความสำคัญลดลง แต่ผมยังเชื่อในความร่วมมือ - ร่วมใจกันเพราะหากเราไม่เกื้อกูลกัน มุ่งแต่แสวงหาแต่ผลประโยชน์ ไขว่คว้าให้มากขึ้นๆเรื่อยๆ เข้าสู่ประเทศของตนเองแต่เพียงด้านเดียว ก็จะทำให้โลกนั้นเข้าสู่ภาวะของการแข่งขัน อย่างรุนแรง จนในที่สุด ก็อาจเป็นทุกฝ่ายที่ “พ่ายแพ้” ไม่มีใครได้อะไร มีแต่ผลเสีย หรือสูญเปล่านะครับ สำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อย่างเรานี้ เห็นได้ว่า ต่างก็มีนโยบายมุ่งบรรลุเป้าหมาย คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน และเกื้อกูลกันดี นะครับ มีความร่วมมือหลากหลาย ทำให้เกิดความเชื่อมโยง ที่แน่นแฟ้น นำไปสู่การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันพัฒนา ร่วมกันแก้ปัญหา อันจะนำไปสู่การสร้าง “หุ้นส่วน” เพื่อการพัฒนาที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ และ “ตอบโจทย์” ความต้องการในการยกระดับรายได้ และ ความเป็นอยู่ของประชากร ไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืนด้วย ทั้งนี้ สิ่งที่ผมกล่าวในที่ประชุมนั้นประเด็นแรก ก็คือ การส่งสัญญาณว่าไทยยังคงให้ความสำคัญ ในความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และ เชื่อว่าเราไม่อาจเติบโตได้ แต่เพียงลำพัง เราต้องเดินหน้า เคียงคู่ และพร้อมๆ กันกับประเทศเพื่อนบ้าน ในอนุภูมิภาค ซึ่งเรายึดถือแนวทาง “ประเทศไทย +1 +2 +3 …” เพื่อสนับสนุนให้การลงทุน และความร่วมมือ กับต่างประเทศ ได้ขยายผลไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านของเราด้วย หาก “พวกเรา” แข็งแกร่ง ก็จะสามารถส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกันและกันได้ เราก็จะเจริญเติบโตไปด้วยกัน นะครับ ประเด็นที่สอง ก็คือหากเราจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุม แล้ว หัวใจสำคัญ ก็คือ “ความเชื่อมโยง”ที่จะช่วยกระจายความเจริญ รายได้ และโอกาส ทั้งทางการศึกษาและทางธุรกิจ ไปยังภาคส่วนต่างๆ อย่างทั่วถึงเพื่อให้ ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งการที่ไทยตั้งอยู่ “ใจกลาง” ของอาเซียน จะสามารถเป็น “ประตู” เชื่อมโยงภูมิภาคอื่นๆ กับเพื่อนบ้านในอาเซียนได้ เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง “ทุกระบบ” เพื่อจะเสริมสร้าง “ความเชื่อมโยงทางกายภาพ” เช่น โครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน ซึ่งจะเชื่อมโยงไทย ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เข้าสู่จีน และจะมีการพัฒนาพื้นที่ ให้เกิดประโยชน์ ตลอดแนวเส้นทางที่รถไฟผ่าน มีการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดชายแดน รวมทั้ง การผลักดันแผนแม่บทอาเซียน ด้านความเชื่อมโยงด้วย ทั้งหมดนี้ ก็จะนำมาซึ่งการพัฒนาอย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่ในภูมิภาคเอเชียเท่านั้น ก็ยังจะเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก อย่างที่สมาชิกที่ไปร่วมประชุมเขาก็กล่าวกันว่า ทุกคนก็จะสร้างความเชื่อมโยงของตัวเอง กับประเทศเพื่อนบ้าน กับประชาคม และก็จะเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจของเรา ซึ่งจีนก็มีบทบาทในการเชื่อมโยงนี้ ก็ให้ทุกคนได้มีสิทธิมีเสียง มีการพูดคุยมีการได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมนะครับ ก็เลิกในลักษณะที่ว่าเป็นการบังคับ หรือเป็นการสร้างอิทธิพล อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็ได้มีการพูดคุยในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ด้วย นะครับ สำหรับ “ความเชื่อมโยงระดับประชาชน”ก็นับว่าเป็นอีกมิติที่สำคัญ ในการจะขับเคลื่อนความร่วมมือ เพราะว่าถ้าคนเจอกัน พบกัน รักกัน สามัคคีกันข้ามประเทศ มันก็จะทำให้เรามีมิตรมากขึ้น จะช่วยสร้างความเข้าใจ ลดความขัดแย้ง ทำให้การเกิดการรวมตัวอย่างราบรื่นในทุกกิจกรรม ซึ่งประเทศที่กำลังพัฒนา ก็ต้องเร่งสร้างความเป็นหุ้นส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านต่างๆ เช่น ความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษากับเอกชน เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถ และพัฒนาทักษะแรงงาน การร่วมมือแลกเปลี่ยนด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม และในยุคสมัยนี้ ประเทศที่กำลังพัฒนาก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มขีดความสามารถเพื่อรองรับ “ความเชื่อมโยงทางดิจิทัล” ซึ่งจะช่วยขยายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งมีสัดส่วน กว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจในภูมิภาคให้เติบโตไปกับเศรษฐกิจในภาพรวมได้ ผ่านการพัฒนา e-Commerce และบริการทางการเงินอื่นๆที่ผมได้เล่าให้ฟังในสัปดาห์ก่อนไปแล้ว ประเด็นสุดท้าย ที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ก็คือ การพัฒนาที่สมบูรณ์จะต้องมีความยั่งยืนด้วย เราจึงต้องร่วมมือกันสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการปกป้องสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และรัชกาลปัจจุบันนะครับ และต้องตระหนักว่า ทุกประเทศมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความเป็นอยู่ การศึกษา อาชีพ รายได้ ต่างๆ มันต่างกันทั้งสิ้นนะครับ ฉะนั้น การดำเนินความร่วมมือ จึงต้องคำนึงถึงความต้องการ และข้อจำกัด ของผู้รับด้วย ตลอดจน ของผู้ที่มีส่วนร่วมเป็นสำคัญ อีกทั้ง ควรมีหลากหลายรูปแบบเพื่อให้การรวมกลุ่มของพวกเรา สามารถขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างประเทศ ในประชาคมโลกให้กว้างขึ้นไปอีกด้วยนะครับ ก็เหมือนกับประชารัฐของเราในประเทศแล้ว เราก็น่าจะต้องมีประชารัฐกับต่างประเทศด้วย ก็เป็นตัวอย่างเทียบกันง่ายๆ เจริญเติบโตทั้งภายในและภายนอกนะครับ มันจะได้เร่งให้เร็วขึ้น สำหรับอีกการประชุมหนึ่ง ที่ผมได้เดินทางไปเข้าร่วมในช่วงสัปดาห์นี้ ก็คือการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี อย่างไม่เป็นทางการ ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 3 ก็เป็นการเตรียมการมาล่วงหน้าแล้วนะครับ ก็ถือว่าเป็นการเดินทางไปหารือ เพื่อกระชับความร่วมมือ ระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งสลับกันนะครับ ครั้งที่แล้วเราเป็นเจ้าภาพ ในหลายๆ ด้าน ให้สอดรับกับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ที่รัฐบาลนี้ ต้องการส่งเสริม ภายใต้นโยบาย “ประเทศไทย +1…” ตามที่ผมได้กล่าวถึง ในข้างต้น นะครับ เพราะกัมพูชา เป็นหนึ่งในประเทศอนุภูมิภาค ที่มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ที่เชื่อมโยงกับไทยมายาวนาน มีภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด ชายแดนติดกับไทย ทำให้มีการค้าระหว่างกัน ทั้งสินค้า บริการ รวมถึงแรงงาน ที่เป็นส่วนสำคัญ ในภาคการผลิตของเศรษฐกิจไทยด้วยนะครับ มีความเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง การหารือครั้งนี้ ก็เพื่อจะกำหนดแนวทาง และทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ ให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น วันนี้ก็ดีมากอยู่แล้วนะครับ เราจะต้องเพิ่มความร่วมมือ ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับทั้ง 2 ฝ่าย 2 ประเทศได้ให้เติบโตไปพร้อมกัน นะครับ ซึ่งเราได้เห็นความคืบหน้าของความร่วมมือในสาขาต่างๆ ในเรื่องการพัฒนาจุดผ่านแดน, มาตรการด้านภาษี, การพัฒนาด้านแรงงาน,การส่งเสริมด้านการศึกษาและการเกษตร,การเชื่อมโยงทางถนน - รถไฟ - และทางน้ำ ซึ่งจะต้องต่อไปถึงประเทศอื่นๆ อีกด้วยนะครับ , การกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในด้านต่างๆ รวมถึง การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในบริเวณพื้นที่ชายแดนที่ติดกันนะครับ เพื่อจะสร้างงานและเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศด้วย ครับ ทั้งนี้ การส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมา เหล่านี้จะถือเป็นการช่วยสร้างสมดุล ให้กับการพัฒนาประเทศ ลดการพึ่งพาเพียงเศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างเดียว และ สร้างความเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ ไปพร้อมๆ กันด้วย เพื่อให้ไทยสามารถได้ประโยชน์จากการเติบโตของประเทศอื่นๆ ในโลก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยโตได้ช้ากว่า จากปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าของไทยไปยังต่างประเทศ ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกแรงหนึ่งด้วย นะครับ ก็จะต้องเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมให้มากยิ่งขึ้น พี่น้องประชาชนครับ เราอาจมองได้ว่า “ความเชื่อมโยง” ทั้งทางโครงสร้างพื้นฐาน, ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม” ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างประเทศต่างๆ ในโลกนั้นจะเป็นทั้ง“ความท้าทาย” และ “โอกาส”ให้กับประเทศไทย ซึ่งคงเป็นการยากที่เราจะ “ปิดตัว” จากความเชื่อมโยงเหล่านี้ ไม่ค้าขาย ไม่ติดต่อ อยู่แต่เพียงลำพัง มันทำไม่ได้แล้วนะครับในวันนี้ เราจะทำอย่างไร เราจะพลิกฟื้นให้ความท้าทาย หรือวิกฤตเหล่านั้น ให้เพิ่มความเชื่อมโยง นำมาสู่การแข่งขันที่ลดลง มีความร่วมมือซึ่งกันและกัน เพราะว่ามันมีผลจากตลาดการเงินที่ผันผวนมากขึ้น คือพูดง่ายๆว่าเอาวิกฤตมาเป็นโอกาสให้ได้นะครับ จากสิ่งที่มันเป็นปัจจัยที่ทำให้ทุกอย่างมันไม่ดี ต้องเอาทุกปัญหาทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาและหาหนทางปฏิบัติ ลดวิกฤต เพิ่มโอกาส อย่าทำโอกาสให้เป็นวิกฤตเลยนะครับ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น เราก็จะถือว่า สิ่งที่เราร่วมมือกันทำวันนี้ มันก็จะเป็นโอกาสของประเทศ เป็นประวัติศาสตร์ที่คนไทยทุกคนได้ร่วมมือกันซึ่งนอกเหนือไปจาก เราจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อให้ยืนอยู่ในประชาคมโลกในยุค 4.0 นี้แล้ว เราคงต้องร่วมมือกับนานาประเทศให้มากยิ่งขึ้นนะครับ ในการสร้างภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสังคมที่แข็งแรง ไปด้วยกัน อย่าไปมองปัญหาการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เราสามารถจะช่วยเหลือกัน บรรเทาปัญหาให้แก่กันได้ เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดปัญหา มันก็เดือดร้อนไปด้วยกันนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีเขตแดนติดกัน แล้วก็อาจจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ได้มากนะครับ มันก็ทำให้การแก้ปัญหา แก้ได้ยากไปเรื่อยๆ จากยากอยู่แล้วก็ยากไปเรื่อยๆ ทุกคนต้องระมัดระวังนะครับ ถ้าเราทำได้ดีแล้ว มันก็จะเป็นการสร้างอำนาจการต่อรอง ให้กับกลุ่มประเทศอื่นๆ ทำให้ประเทศเล็กอย่างเรานั้น หรืออาเซียนที่รวมกันหลายประเทศ ประเทศเล็กๆเหล่านั้น เราก็จะไม่เสียเปรียบในเวทีโลกอีกต่อไป นะครับ สุดท้ายนี้ ปัจจุบัน เรามีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันแล้วนะครับ ทั้งนี้ “การปฏิรูป” คงไม่สามารถทำได้ ทำเสร็จภายในปี หรือ 2 ปี ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลนี้ รัฐบาลต่อไปนะครับ บางเรื่อง อาจใช้เวลาถึง 5 ปี 10 ปี แต่สิ่งสำคัญ 2 ประการ ที่ผมอยากจะเน้นย้ำในช่วงท้ายรายการนี้ คือ (1) เราจะมีส่วนร่วม – มีการสร้างความปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะมันเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะเปลี่ยนแปลงในการจะปฏิรูปประเทศ แล้วก็เดินหน้าประเทศตามยุทธศาสตร์เหล่านั้น นะครับ (2) ความอดทน – อดกลั้น - ไม่ใจร้อน นะครับ ไม่บิดเบือน ทุกคนก็วิพากษ์วิจารณ์กัน บางทีมันก็ไม่ใช่นะครับ ต้องไว้ใจกัน ร่วมมือกัน ในการจะนำพาประเทศไปสู่จุดหมายของเรา ก็คือ “ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” นะครับ หลายอย่าง อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า บางคนอาจจะบอกว่ายังไม่ได้อะไรเลยจากรัฐบาลนี้ ก็ท่านก็ต้องคอยนะครับ ถ้าท่านยังเข้าไม่ถึงตรงนี้ มันก็ต้องใช้เวลาในการที่จะเข้าถึงให้ได้ มันมี 2 ทางก็คือ ท่านเข้าถึงเอง หรือ 2.รัฐบาลก็ยื่นแขนยื่นขาออกไปอีก ซึ่งเราก็ต้องสร้างความเข้มแข็ง ยั่งยืนไปด้วยนะครับเราให้แต่เพียงอย่างเดียวมันก็ไม่ได้นะครับ ให้แล้วก็ต้องเข้มแข็งด้วย ท่านก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน ด้วยการเรียนรู้ด้วยการศึกษา ด้วยการหาข้อมูลอันเป็นประโยชน์นะครับ ถ้าทุกคนเข้าไม่ได้เข้าไม่ถึง แล้วอยู่เฉยๆ แล้วก็บ่นว่าทำไมไม่ได้อะไรเลย ถ้าอย่างนี้ผมว่ามันไปได้ยากนะครับ ทุกคนก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน รัฐบาลก็พร้อมที่จะนำทาง พร้อมที่จะช่วยเหลือสนับสนุนท่าน แต่มันต้องเป็นการสนับสนุนที่ถูกต้องเป็นไปตามทำนองคลองธรรม ตามกฎหมาย อย่าให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นอีกเลยนะครับ จากนี้เป็นต้นไป ขอบคุณนะครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ