“สหรัฐอเมริกา” เจ้าของฉายา “พญาอินทรี” แม้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศ มหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก ล้ำหน้าด้วยวิทยาการแขนงต่างๆ ยิ่งกว่าชาติใด รวมถึงด้านการแพทย์ สาธารณสุข ถึงขนาดสามารถวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันสารพัดโรค รวมทั้งโควิดฯ ไวรัสมหาภัยได้หลายขนาน แต่ปรากฏว่า มหาอำนาจชาตินี้ยังอ่วมอรทัยกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 หรือไวรัสโคโรนา 2019 ที่จนถึงทุกวันนี้ ยอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมและผู้ป่วยเสียชีวิต มีจำนวนมากเหนือใคร รั้งตำแหน่งอันดับดับ 1 ของโลกมานานหลายเพลา
สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ผู้นำในทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อย่างคนปัจจุบัน คือ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”
โดยนับตั้งแต่ที่นายไบเดน ย่างเท้าก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ในฐานะประธานาธิบดีของประเทศ ก็ได้ขับเคลื่อนโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ให้แก่ประชาชาวอเมริกันชน ซึ่งเริ่มดำเนินมาตั้งแต่ช่วงท้ายสมัยของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งประธานาธิบดีไบเดน ตั้งเป้าว่า จะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ให้แก่ชาวอเมริกันครบทุกคนภายในสิ้นเดือน พ.ค. หรืออย่างช้าสุดก็กลางปีนี้ ก่อนที่ประเทศจะได้เฉลิมฉลองเนื่องในเทศกาล “วันชาติสหรัฐฯ- 4 กรกฎาคม” ที่จะถึงนี้ กันอย่างชื่นมื่น
ทว่า หมุดหมายที่ประธานาธิบดีไบเดนวาดฝันไว้ เห็นท่าจะกลายเป็นฝันสลายไปเสียแล้ว
เมื่อปรากฎว่า โครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ขับเคลื่อนไปอย่างไม่ได้ดั่งใจ เนื่องจากประชาชาวอเมริกันชนจำนวนไม่น้อยกลับหันหลัง คือ ปฏิเสธที่จะรับการฉีดวัคซีนกันเสียนี่!
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ในสหรัฐฯ ต้องบอกเลยว่า มีวิจัยและพัฒนาออกมาหลายขนาน จนอาจกล่าวได้ว่า มีขนานมากที่สุดในโลก
ไม่ว่าจะเป็นขนานที่เรียกกันติดปากว่า “ไฟเซอร์” ซึ่งเป็นวัคซีนที่บริษัทไฟเซอร์อิงค์ ประเทศสหรัฐฯ วิจัยพัฒนาร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทค ประเทศเยอรมนี โดยวัคซีนขนานนี้ได้รับการกล่าวอ้างถึงประสิทธิภาพว่า มีศักยภาพป้องกันเชื้อไวรัสได้ถึงกว่าร้อยละ 95 สำหรับการฉีดจำนวน 2 โดส อันถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบวัคซีนขนานอื่นๆ
ตามมาด้วยวัคซีนขนานของ “โมเดอร์นา” บริษัทยา เวชภัณฑ์ และเทคโนโลยีชีวภาพชื่อดังของสหรัฐฯ ซึ่งจากผลการวิจัยพัฒนาวัคซีนที่ออกมา ทาง “โมเดอร์นา” ระบุว่า มีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อไวรัสโควิดฯ ได้ถึงร้อยละ 94.1 หลังการฉีดจำนวน 2 โดส เช่นกัน
นอกจากนี้ ก็ยังมีวัคซีนขนานของ “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” บริษัทยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภคชื่อดัง ซึ่งชาวไทยเรารู้จักกันเป็นอย่างดี ก็ได้ออกมาเคลมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่พวกเขาวิจัยพัฒนาขึ้นมาว่า สามารถป้องกันเชื้อไวรัสดควิดฯ ได้ถึงกว่าร้อยละ 70 – 85 มิหนำซ้ำวัคซีนขนานนี้ของพวกเขายังฉีดเพียงเข็มเดียว หรือโดสเดียวเท่านั้น รวมถึงตัวยาวัคซีนก็สามารถจัดเก็บได้ง่ายกว่าวัคซีนขนานอื่นๆ โดยใช้สถานที่เก็บที่มีอุณหภูมิเพียง 2 – 8 องศาเซลเซียส หรือตู้เย็น ก็ใช้เก็บวัคซีนได้แล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ประเทศมีวัคซีนหลายขนาน แต่ปรากฏว่า ประชาชนชาวอเมริกัน กลับไม่ประสงค์ หรือปฏิเสธที่จะรับการฉีดวัคซีนกัน
จากการสำรวจติดตามการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ ปรากฏว่า มีประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็ม หรือโดส ที่ 2 ซึ่งครบตามที่กำหนดไว้มีจำนวนเพียงกว่า 35 ล้านคนเท่านั้น จากจำนวนประชากรของประเทศทั้งสิ้นกว่า 328 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละก็เพียงร้อยละ 13 เท่านั้นของประชากรทั้งหมด
เมื่อติดตามสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวสหรัฐฯ ของบรรดาสำนักโพลล์ต่างๆ ก็ปรากฎว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน จำนวนนร้อยละ 25 ตอบว่า ไม่มีแผนที่จะรับการฉีดวัคซีน ส่วนอเมริกันชนที่เป็นคนผิวขาวที่ไม่ประสงค์รับการฉีดวัคซีน มีจำนวนร้อยละ 28 ขณะที่ ชาวอเมริกันเชื้อสายสแปนิช หรือละตินอเมริกา ที่ปฏิเสธรับการฉีดวัคซีนมีจำนวนถึงร้อยละ 37
ใช่แต่เท่านั้น ในการสำรวจความคิดเห็นแบบแยกย่อยออกไปตามการสนับสนุนพรรคการเมือง ปรากฏว่า พลพรรครีพับลิกันถึงร้อยละ 49 ที่ปฏิเสธรับการฉีดวัคซีน ส่วนพลพรรคเดโมแครต ที่ตอบว่า ไม่ขอรับการฉีดวัคซีนมีจำนวนร้อยละ 10 เมื่อแยกย่อยลงไปอีก ในกลุ่มพลพรรครีพับลิกัน ที่สนับสนุนต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้รับคำตอบว่าจะไม่ฉีดวัคซีนมีจำนวนสูงถึงร้อยละ 47 ขณะที่ กลุ่มพลพรรคเดโมแครต ที่กาบัตรเลือกนายไบเดนให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อปลายปีที่มา มีจำนวนร้อยละ 10 ที่ประกาศปฏิเสธต่อการรับวัคซีนโควิดฯ
ภายหลังจากรายงานการสำรวจความคิดเห็นดังกล่าวออกไป ก็สร้างความหัวเสียให้แก่ประธานาธิบดีไบเดน ถึงขนาดออกมาบ่นๆ ว่า รู้สึกเป็นงง ปนความไม่เข้าใจว่า ทำไมยังมีชาวอเมริกันจำนวนหนึ่ง ปฏิเสธที่จะรับการฉีดวัคซีน มีแนวคิดต่อต้านวัคซีน และว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องสิทธิ เสรีภาพ ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนหรือไม่? แต่เป็นเรื่องของความรักชาติ และความคิดที่จะปกป้องคนอื่นๆ จากเชื้อไวรัสโควิดฯ ท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสร้ายที่ยังคงอาละวาดอย่างหนัก รวมถึงการกลายพันธุ์จนน่าวิตก ณ เวลานี้