ทวีดีกรีเดือด ละเลงเลือดท่วมแผ่นดินบุเรงนองหนักยิ่งขึ้น สำหรับ “ปรากฏการณ์ม็อบ” ประชาชนชาวเมียนมา ที่ชุมนุมประท้วงการทำรัฐประหาร โดย “กองทัพ” หรือ “ตั๊ดมาดอว์” โค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่พวกเขากาบัตรเลือกตั้ง เลือกมากับมือ จนทะลายหายไปในพริบตา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อนขับเคลื่อนพลวัตรม็อบภายใต้ชื่อว่า “ขบวนการอารยขัดขืน” หรือ “ซีดีเอ็ม” หลังจากนั้นปรากฏการณ์ม็อบก็ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา นับถึง ณ ชั่วโมงนี้ก็เดือนกว่าแล้ว ที่ประจันหน้ากันระหว่างม็อบกับเจ้าหน้าที่ของทางการ โดยสถานการณ์ชุมนุมประท้วง ก็เพิ่มความร้อนระอุ จนกลายเป็นเปลวเพลิงลุกโชนเผาไหม้เมียนมา หลังปรากฏว่า กลุ่มผู้ประท้วงปะทะเดือดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทางการเนปิดอว์ ซึ่งแรกๆ ของการเผชิญหน้า ทางการก็ส่งเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมฝูงชน ทว่า ถึง ณ เวลานี้ ทาง “สภาบริหารแห่งรัฐ” ซึ่งเป็นรัฐบาลทหารเมียนมา ได้ส่ง “ทหาร” จาก “กองทัพ” หรือ “ตั๊ดมาดอว์” มาสนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในปฏิบัติการปราบปรามกวาดล้างกับพวกม็อบ ด้วยประการฉะนี้ ชีวีของพวกม็อบ จึงถูกปลิดปลง ราวกับใบไม้ร่วง นับถึง ณ วินาที กับตัวเลขของผู้เสียชีวิตที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ ก็เกินกว่า 130 ราย แต่มีเสียงกระเส็นกระสายมาว่า ตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านั้น ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ใช้ลูกกระสุนปืนจริง ยิงสาดใส่กลุ่มผู้ชุมนุม นอกเหนือจากการใช้กระสุนยาง และแก๊สน้ำตาแล้ว เช่นเดียวกับผู้ได้รับบาดเจ็บ ก็มีจำนวนหลายร้อยคน รวมถึงผู้ที่จับกุมก็มีจำนวนนับพัน ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัด เพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทางการเมียนมา ออกปฏิบัติการกวาดจับประชาชนผู้เห็นต่าง ในช่วงยามค่ำคืนขณะนอนหลับพักผ่อนภายในเคหสถานของตน แบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวอีกจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากการกุมตัวในขณะเผชิญหน้ากันกลางม็อบแล้ว ขณะที่ ทางฝ่ายผู้ชุมนุมก็ไม่ยอมน้อยหน้า ให้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว แต่ได้มีปฏิบัติการตอบโต้เป็นประการต่างๆ ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ขัดขืนคำสั่ง ไม่ให้ความร่วมมือกับทางการ การบอยคอตไม่ใช้สินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายจากโรงงาน บริษัท ห้างร้าน ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ รวมถึงการเบิกถอนเงินจากธนาคารที่มีกองทัพเข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ด้วยวิธีการต่างๆ ข้างต้น ถือว่าเป็น “ไม้นวม” ซึ่งปรากฏว่า ดูท่าจะไร้ความสัมฤทธิ์ผล โดยส่งผลกระทบไม่เท่าไหร่ ในการเขย่ากองทัพ ตั๊ดมาดอว์ ล่าสุด ทางกลุ่มผู้ประท้วงได้ใช้ “ไม้แข็ง” ด้วยการยกกำลังบุกเข้าไปโจมตีบรรดาโรงงานต่างๆ ใน “เขตอุตสาหกรรมหล่ายตาร์ยาร์” ซึ่งเป็นศูนย์กลาง หรือฮับ ของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในนครย่างกุ้ง เมืองใหญ่ที่สุดของเมียนมา โดยกลุ่มผู้ชุมนุม พุ่งเป้าไปที่บรรดาโรงงานที่มีเจ้าของเป็น “ชาวจีน” เป็นหมุดหมายสำคัญ ก่อนใช้ท่อนเหล็กบ้าง ขวานบ้าง โจมตีทำลายทรัพย์สินภายในโรงงาน หลังจากนั้นก็จุดไฟเผาแล้วก็จรลีหนีไป ซึ่งมีรายงานว่า มีโรงงานที่มีเจ้าของเป็นนักธุรกิจชาวจีน จำนวนนับสิบแห่ง ถูกโจมตีในลักษณะเช่นนี้ นอกจากถูกทุบทำลาย จุดไฟเผาแล้ว มีรายงานด้วยว่า โรงงานหลายแห่งของนักลงทุนชาวจีน ถูกปล้นสะดมอีกด้วย ถึงขนาดที่ทางสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา มิอาจทนนิ่งได้ ต้องเรียกร้องให้รัฐบาลทหารเมียนมา เร่งหามาตรการรับมือม็อบ ที่มีแนวโน้มว่าจะบุกทุบทำลายโรงงานของชาวจีนในเมียนมาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลทหารเมียนมา ได้มีประกาศกฎอัยการศึก ในพื้นที่นครย่างกุ้ง เพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุมประท้วงที่ลุกลามบานปลายกลายเป็นจลาจลโจมตีโรงงานเหล่านี้ไป เบื้องต้นได้ประกาศบังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 2 เขตของนครย่างกุ้ง ก่อนที่ล่าสุดในอีกไม่กี่เพลาต่อมาได้ประกาศบังคับใช้แบบเต็มพื้นที่ของนครย่างกุ้งแล้ว ภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมยังคงเดินหน้าโจมตีโรงงาน กิจการของชาวจีนในนครแห่งนี้อย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีหมุดหมายเพื่อต้องการ ทุบแหล่งทุน ถลุงถังเงิน ที่เปรียบเสมือนท่อน้ำเลี้ยงของกองทัพเมียนมา ตามปฏิบัติตอบโต้ พร้อมกับทวงคืนอำนาจจากทางฝ่ายม็อบ ซึ่งคาดว่าการสัประยุทธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายจะเป็นไปยืดเยื้อ