วันที่ 14 มี.ค.64 นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟชบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ #ฉลาดหรือโง่ #ก้าวหน้าหรือถอยหลัง ระบุว่า  (1) นักการเมืองรุ่นใหม่ไม่ว่าจะอยู่ในสภาฯ หรือนอกสภาฯ มักจะท่องคาถาว่า ตนต้องการให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ จึงตะโกนคำขวัญว่า #เสรีภาพ #เสมอภาค และ #ภราดรภาพ ซึ่งเป็นคำขวัญของนักปฏิวัติของฝรั่งเศสที่ใช้ปลุกใจประชาชนให้ลุกฮือก่อการปฏิวัติใหญ่ (Great Revolution ค.ศ. 1789) จนสามารถล้มล้างสถาบันกษัตริย์ จับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีประหารชีวิตสำเร็จได้ดั่งใจ  แต่นักการเมืองรุ่นใหม่ของไทย อาจจะมิได้ศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนั้นให้ลึกซึ้ง อยากจะเรียนเพื่อทราบว่า หลังจากพวกเขาล้มสถาบันกษัตริย์ได้สำเร็จแล้ว สิ่งที่ชาวฝรั่งเศสได้ประสบ ก็คือ ระบบการปกครองใหม่ที่เป็นเผด็จการบ้าเลือด เลวร้ายยิ่งกว่าอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบราชาธิปไตยก่อนหน้านั้นเสียอีก ไม่เคยมี “เสรีภาพ” อย่างที่เคยโม้เอาไว้เลย ใครมีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับกลุ่มผู้มีอำนาจใหม่ ก็จะถูกจับเอาไปฆ่าเสียหลายหมื่นคน  การจับผู้เห็นต่างเอาไปฆ่านั้น มิได้ผ่านกระบวนการยุติธรรม มีแต่การใช้ศาลเตี้ยของผู้มีอำนาจเผด็จการ ความเสมอภาคก็ไม่เคยมี แม้แต่ภายในกลุ่มผู้นำด้วยกันเอง ผู้ที่มีตำแหน่งและมีอำนาจมากกว่าจะระแวงลูกน้องตลอดเวลา เพียงแค่สงสัยว่าไม่มีความจงรักภักดี ก็พาลหาเรื่องจับไปประหารเสียด้วยเครื่องกิโยติน และเมื่อกลุ่มลูกน้องเกิดความระแวงว่าเจ้านายอาจคิดไม่ซื่อกับพวกตนก็รุมกันจับเจ้านายนั้นฆ่าเสียด้วยเครื่องกิโยตินเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครมีความรู้สึกว่าเป็นพี่เป็นน้องกันจริง คำว่า ภราดรภาพจึงไม่เคยมีอย่างที่โม้กันเอาไว้ การนิยมใช้ความรุนแรงในการบริหารประเทศของกลุ่มคณะปฏิวัติที่ฝรั่งเศส ไม่ได้แตกต่างไปจากกลุ่มเรดการ์ด ของ เมาเซตุง และก็ไม่ต่างจากกลุ่มที่อยากจะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ปฏิบัติอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน (2) ปัจจุบันยังมีนักการเมืองทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 โดยเฉพาะมีส่วนหนึ่งอ้างว่า เพื่อให้คณะกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ (เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ, ป.ป.ช.  กกต. เป็นต้น) ต้องได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน นำขี้ปากของทฤษฎีฝรั่งมาอ้างว่า #เพื่อให้มีการยึดโยงกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  พวกเขาอาจจะลืมหรือแกล้งลืมไปว่า เราเคยมีบทบัญญัติเช่นนั้นในรัฐธรรมนูญปี 2540 อันเป็นเหตุให้เกิดสภาผัว - เมีย (ส.ส. และ ส.ว. เป็นพวกเดียวกัน เพราะมาจากฐานการเลือกตั้งเดียวกัน) จึงเกิดเผด็จการรัฐสภา (TOTALITARIANISM) รัฐบาลใช้อำนาจขัดหลักนิติธรรม เพราะสามารถตั้งคนของตนเองเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระไว้ทั้งหมด จึงสามารถโกงกินฉ้อราษฎร์บังหลวงกันอย่างมโหฬาร ประมาณกันว่าเงินของรัฐที่ตกไปอยู่ในพุงหมาประมาณ เจ็ดแสนล้าน ถึง หนึ่งล้านล้านบาททีเดียว อันเป็นเหตุให้ประเทศต้องซอกซ้ำทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมจนถึงปัจจุบัน (3) พวกที่เรียกร้องดังอธิบายในข้อ (2) มักจะอ้างว่าตนเป็นคนหัวใหม่ ใครไม่เห็นด้วยกับพวกตน พวกนั้นเป็นพวกไดโนเสาร์ พวกเขาหลงตัวเองว่าเป็นคนมีความรู้ พร่ำท่องให้ประชาชนฟังแต่เรื่องหลักประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบที่ปราชญ์ฝรั่งเคยคิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ (2,500 - 2,600 ปีมาแล้ว) และได้นำมาคิดต่อยอดกันใหม่ในศตวรรษที่ 17 - 18  อย่าลืมว่าความคิด ปรัชญา และตรรกะต่างๆ ที่แปลงมาเป็นรูปแบบการปกครองและรัฐธรรมนูญของเขาอาจจะเหมาะกับบริบทของประเทศของเขา แต่บางอย่างก็ไม่เหมาะจะนำมาใช้ทั้งดุ้นกับประเทศไทย เพราะมีอยู่หลายอย่างที่ของฝรั่งเขาเหี้ยกว่าของประเทศไทย และก็มีอยู่หลายอย่างที่ของไทยเลวกว่าของฝรั่ง เราเคยลอกแบบเขามาแล้วเกิดความย่อยยับอย่างไร น่าจะยังจำกันได้ แล้วเราจะถอยหลังกลับไปหามันกันอีกทำไม? (4) ถ้าไม่ใช่โง่แล้วอวดฉลาดดังกล่าวในข้อ (3) ก็มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะมีเจตนาแอบแฝงเพื่อจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ให้องค์กรอิสระฯ ต่างๆ อยู่ใต้อิทธิพลของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อจะได้โกงกันสบายๆ ในภายภาคหน้า และต้องการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 เพราะมันเป็นรัฐธรรมนูญป้องกันโกง (มีบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับ) ที่บัญญัติให้ผู้ที่ถูกศาลฯ ตัดสินจำคุกจำเลยทุกประเภทในคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงแม้จำเลยไม่ปรากฏตัวในศาล (คือหนีคดี) และเมื่อตัดสินจำคุกแล้ว อยากหนีคุกก็หนีไป  แต่จะไม่มีการนับอายุความ คือ ต้องหนีไปจนตายในต่างประเทศ (กฎหมายเข้มข้นขนาดนี้คงมีผลช่วยลดการโกงลงไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มี) และจะยังมีอีกหลายคนที่จะหนีไปในอนาคต มีคนเขาตั้งข้อสงสัยว่า เขาอยากแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ก็เพื่อจะให้พวกหนีคุกอยู่ในต่างประเทศสามารถกลับประเทศได้ โดยให้มีการนับอายุความเหมือนในอดีตอีกใช่หรือไม่ เพราะมันอาจเป็นไปได้ด้วยการเขียนบทเฉพาะกาลไว้เพื่อให้มีการแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าวโดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล ทั้งที่ประเทศของ เราชื่อว่า “ประเทศไทย” ไม่ได้ชื่อว่า “ประเทศสากล” ถ้าเป็นอย่างที่หลายท่านตั้งข้อสงสัยเช่นนี้ ก็ไม่สามารถจะเรียกพวกที่อยากแก้ไขว่า “โง่” ได้หรอกครับ เขาเรียกคนประเภทนี้ว่า “เป็นคนฉลาดแกมโกง” ซึ่งย่อมเลวกว่าพวกโง่ที่อวดฉลาด และพวกฉลาดที่โง่เพราะไม่ศึกษาอะไรให้มันลึกซึ้งเสียก่อน พวกฉลาดแกมโกงนี้เป็นภัยแก่อนาคตของชาติมากกว่าหลายเท่าเลย ใครจะมองว่าเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายก็กราบขออภัย แต่เพราะมีคนหลายคนเป็นห่วงเรื่องนี้ ผมจึงต้องระบายแทนให้พวกเขา เรียกว่าพูดดักคอเอาไว้ก่อน ผมได้แต่หวังลึกๆ ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริง ขอให้พระจงคุ้มครองประเทศนี้ด้วยเถิด หมายเหตุ : 1) ความเห็นของผมอาจจะดูเป็นพวกจารีตนิยมที่คนรุ่นใหม่บางกลุ่มเรียกคนประเภทนี้ว่าเป็นพวกไดโนเสาร์ หรือพวกสลิ่ม ผมก็ยินดีรับคำติฉินนั้นๆ แต่ตัวผมเองคิดว่าผมเป็นพวก “เสรีนิยมที่ไม่สุดโต่ง” เพราะได้ศึกษามามากเห็นโลกมามาก ผมจึงยังยืนยันว่า ประเทศของผมชื่อ “ประเทศไทย” ไม่ได้ชื่อว่า “ประเทศสากล” สำคัญว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศเขาจะเห็นด้วยกับความคิดไหน ความคิดนั้นเป็น “นามธรรม” เป็น “อนัตตา” หามีตัวตนที่แน่นอนไม่ ในปัจจุบันคิดอย่างนี้ ในอนาคตอาจจะคิดเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่เฉพาะในปัจจุบันผมยังเชื่อว่าคนมากกว่า 80% อยู่กับผม หลังจากการทำประชามติถามประชาชนว่า อยากให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ ผลที่จะออกมาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ผมคิดถูกหรือผมคิดผิด แล้วจะได้เห็นกัน ขอเพียงแต่คนที่คิดต่างกัน ต้องไม่เป็นศัตรูกัน เพราะทุกคนล้วนหวังดีต่อประเทศ และเป็นห่วงอนาคตของลูกหลานกันทั้งสิ้น. ผมขอเรียนว่าบทความที่ลงในเฟซบุ๊ก เป็น #ความเห็นส่วนตัว #ไม่เกี่ยวพรรคปชป.แต่อย่างใด