ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 10 มี.ค. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผบช.น.และโฆษกบช.น. กล่าวว่า กรณีมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเรือนจำธนบุรี ในวันที่ 9 มี.ค. ขณะนี้ให้ตำรวจสน.ท้องที่พิสูจน์ทราบบุคคลผู้ที่มาชุมนุมและออกหมายเรียกมาดำเนินคดีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ ส่วนที่หน้าศาลอาญากลุ่มผู้ชุมนุมทำกิจกรรมบางอย่างอยู่ระหว่างหารือกับศาลอาญาว่า เป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ก่อนจะดำเนินคดีฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลเป็นพื้นที่หวงห้ามสำคัญการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันมีผลกระทบ อาทิ บุกรุกสถานที่ราชการ ใช้เครื่องเสียงหรือแสงรบกวนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศาลก็เข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีกลุ่มบุคคลที่ยิงปืนใส่รถเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนย่านรัชโยธินว่า คดีมีความคืบหน้าค่อนข้างมาก พอรู้กลุ่มบุคคลที่ก่อเหตุแล้ว คาดว่าจะขออนุมัติออกหมายจับเร็วๆ นี้ ส่วนผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องก่อเหตุชิงตัวผู้ต้องหาได้มีการเร่งรัดดำเนินคดีในทุกมิติแล้ว การกระทำผิดใดๆ บช.น.ได้แจ้งเตือนมาโดยตลอด เมื่อยังฝืนกระทำอยู่จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายคงจะไม่ได้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการกลั่นแกล้งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน เมื่อพยานหลักฐานปรากฏก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุมมาโดยไม่มีแกนนำจะปรับยุทธวิธีอย่างไร พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า การชุมนุมทุกครั้งมีแกนนำแน่นอนมีการชักชวนกัน ผู้ชักชวนคือแกนนำแต่จะเปิดเผยตัวหรือจะแอบอยู่เบื้องหลัง ส่วนการชุมนุมตอนเย็นวันที่ 10 มี.ค. ได้จัดเตรียมกำลังอย่างเพียงพอโดยให้ตำรวจในพื้นที่ สน.พญาไท บก.น.1 รักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันเหตุร้าย บช.น.จะจัดกำลังเสริมกรณีที่มีการชุมนุมลุกลามมากขึ้น สถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วง ฝากเตือนไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมว่าการชุมนุมถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย หากทำผิดซ้ำก็จะถูกดำเนินคดีในหลายคดีหลายข้อหา เมื่อถามว่า ในวันที่ 13 มี.ค. ผู้ชุมนุมจะเดินทะลุฟ้าครั้งที่ 2 ไปที่ทำเนียบรัฐบาลจะวางแผนและตั้งเครื่องกีดขว้างอย่างไร พล.ต.ต.ปิยะ ตอบว่า คงดูจากการข่าวและลักษณะการชุมนุม ถ้าจะมีอันตรายเกิดขึ้นต่อสถานที่ราชการสำคัญก็มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาสมบัติของชาติ รักษาสถานที่ราชการสำคัญ จำนวนผู้ชุมนุมเราไม่ห่วงแต่ห่วงเรื่องการใช้ความรุนแรง อย่างที่ทุกคนเห็นว่ามีการใช้ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุบทำลายสถานที่ราชการ ทุบทำลายทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ใช้อุปกรณ์ เช่น ทินเนอร์ เชื้อเพลิง พลุเพลิง พลุไฟ ดอกไม้ไฟ สิ่งเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย บางครั้งในสถานที่ราชการโบราณสถานที่สำคัญหากเกิดเหตุลักษณะดังกล่าวแล้วไม่สามารถฟื้นฟูหรือซ่อมแซมกลับมาเหมือนเดิมได้ โบราณสถานสร้างมาร้อยกว่าปี หากเกิดความเสียหายถือเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของประเทศด้วย