นาย สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวชื่อ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ว่า ตนได้รับข้อมูลจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวชลบุรีว่า ได้รับข้อมูลจากนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่บ่นว่ารัฐธรรมนูญปี60 เป็นต้นตอของงูเห่าพรรคก้าวไกล ตนจึงอยากเตือนสติปลุก นายพิธา ให้ตื่นจากการละเมอเพ้อฝัน ที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง รัฐธรรมนูญ ปี60 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากที่สุดในสภา แต่พรรคอนาคตใหม่กับทำผิดกฏหมายจึงเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทั้งนี้ตนอยากบอกนายพิธา อีกว่าที่ ส.ส.หลายคนย้ายพรรค เพราะเป็นผลพวงจากพฤติกรรมนายพิธาเอง ข้อแรกคือหักหลังประชาชน เพราะตอนหาเสียงขอคะแนนประชาชนก็ไม่เคยบอกจะแก้ ป.อาญา มาตรา112 ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลหลายคนรับไม่ได้ ส่วนอีกประเด็นคือ นายพิธาไปฟังคนนอกมากกว่า ฟัง ส.ส.ในพรรคนั้นคือการไม่ให้เกียรติ ส.ส. เช่น นายพิธาไปเชื่อ สมาชิกพรรคแบบอย่างโตโต้ ไปฟังคนแบบ ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปแล้ว แต่นายพิธา กลับไม่ยอมฟัง ส.ส.ในพรรคก้าวไกล อย่างที่เป็นข่าวให้เห็นอยู่หลายครั้ง และ ตนอยากให้นายพิธาหัดอ่านรัฐธรรมนูญ มาตรา50 เรื่องการทำหน้าที่พลเมืองบ้าง และ ที่ตนอยากบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ให้ นักการเมืองที่มีคดีหลุดจากตำแหน่งมากที่สุด จึงอยากให้นายพิธาได้อ่าน มาตรา 160(7) และ มาตรา98(6),(7) โดยในรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ระบุว่า รัฐมนตรีต้อง (1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด (2) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี (3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท (8) ไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำการอันเป็นการต้องห้ามมาตรา 186 หรือมาตรา 187 มาแล้วยังไม่ถึงสองปีนับถึงวันแต่งตั้ง และ ในมาตรา 98 ระบุว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (1) ติดยาเสพติดให้โทษ (2) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ (4) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 96 (1) (2) หรือ (4) (5) อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (6) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล (7) เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (8) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ (9) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (10) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน (11) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง (12) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง (13) เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (14) เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี (15) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจหรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ (16) เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ (17) อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (18) เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา 144 หรือมาตรา 235 วรรคสาม และตนอยากบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้มีการถ่วงดุลอำนาจและบังคับให้ใช้หลักนิติธรรม โดยระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งฉบับก่อนหน้าไม่มี ตนจึงอยากให้นายพิธา อ่านมาตรา3 ด้วยระบุว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ตนจึงอยากให้นายพิธาอย่านอนหลับมากจึงชอบละเมอเพ้อฝันแล้วชอบโทษคนอื่น โดยไม่เคยหันมาพิจารณาตัวเองเลย และ อยากให้นายพิธา หัดอ่านรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อแสวงหาอำนาจ และ แก้เพื่อให้มีการทุจริตมากขึ้นหรือไม่ ที่ตนเตือนนั้นก็เพื่อดีต่อตัวนายพิธาเอง