นางแพตริเซีย มงคลวณิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ยืนยันว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 8.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 51.9% ต่อจีดีพียังไม่ทะลุเพดาน โดยยังอยู่ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดเพดานหนี้สาธารณะไว้ที่ระดับ 60% ต่อจีดีพี แม้ว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นผลทำให้รัฐบาลต้องมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อมาดูแล เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ จนส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศไต่ขึ้นไปใกล้เพดาน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง เพราะเมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่าหนี้สาธารณะในส่วนที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหมด คิดเป็น 77% พอร์ตหนี้สาธารณะทั้งหมด และ 73% จากจำนวนหนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้โดยตรง เป็นการกู้เพื่อมาลงทุนพัฒนาประเทศ ส่วนอื่นเป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่จะใช้รายได้ของตัวเองในการชำระหนี้ และหนี้ของหน่วยงานอื่น ๆ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องดูแลจริง ๆ เกี่ยวกับหนี้สาธารณะ คือ 6.3 ล้านล้านบาท จากสัดส่วนหนี้สาธารณะทั้งหมดที่ 8.1 ล้านล้านบาท ทั้งนี้หากพิจารณาจากแนวโน้มการก่อหนี้ของทุกประเทศทั่วโลก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า ทุกประเทศมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นเยอะมาก ดังนั้นระดับหนี้สาธารณะทั่วโลกจึงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศในภูมิภาคเอเชีย ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 67% ต่อจีดีพี จากปีก่อน ๆ อยู่ที่ 60% ต่อจีดีพี ขณะที่ประเทศไทย มีการประเมินว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 ระดับหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 56% ต่อจีดีพี ยังไม่ถึง 60% ต่อจีดีพี นอกจากนี้ในภาวะเศรษฐกิจปกติ เงินกู้ของรัฐบาลถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยทุกบาททุกสตางค์ที่กู้และผลักดันเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ก็เพื่อปากท้องของประชาชน ยิ่งผลักดันลงไปได้เยอะ เงินก็จะมีรอบหมุนวิ่งในระบบเศรษฐกิจเยอะ เมื่อเศรษฐกิจเดินหน้าได้ดีทุกคนก็จะมีรายได้มาชำระภาษี สุดท้ายเงินก็จะกลับมา และสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะค่อย ๆ ปรับตัวลดลง แต่ในช่วงที่ผ่านมามีการระบาดของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และรายได้ลดลง ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีให้ลดลงไปด้วย เพราะมีการเลื่อนการชำระภาษีทั้งหมดออกไป ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคล ทำให้รายได้เข้ามาไม่ทัน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการกู้เงินและใช้เงินกู้ออกไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจก่อน "ยืนยันว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยทุกปีสำนักงบประมาณจะมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีเครดิตดี ทุกคนยังให้ไทยกู้เงินได้"