ประณามลุงขับกระบะใจดำ เลี้ยวปาดหน้า เบียด จยย. 3 แม่ลูกชาวบุรีรัมย์ล้มบาดเจ็บยกคัน ล้อหลังหวิดเหยียบหัวลูกสาว ลงมายืนดูแต่ไม่ช่วยไม่ถามสักคำก่อนทำเนียนไปเข้าห้องน้ำในปั้ม แล้วขับหนีหน้าตาเฉย เหยื่อเผยเตรียมเงิน 4,500 บาท ที่เก็บสะสมจากรับจ้างจะไปจ่ายค่าเทอมลูกแต่ต้องมาจ่ายค่ารักษาแทน วอนหากลุงยังมีสำนึกให้กลับมารับผิดชอบ
เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. (2 มี.ค.64)ได้เกิดอุบัติเหตุรถกระบะขับปาดหน้าเบียดรถจักรยานยนต์ 3 แม่ลูก ล้ม ที่บริเวณหน้าปั้มน้ำมันบางจาก ถนนสายบุรีรัมย์ – ประโคนชัย ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ทำให้ 3 แม่ลูกได้รับบาดเจ็บ โดยกล้องวงจรปิดของปั้มน้ำมันดังกล่าวสามารถบันทึกภาพอุบัติเหตุไว้ได้อย่างชัดเจน โดยในคลิปจะเห็นว่า รถยนต์กระบะสี่ประตู ยี่ห้อโตโยต้าวีโก้ สีขาว ได้ขับตีคู่กับรถจักรยานยนต์มา แต่พอถึงหน้าปั้มรถกระบะก็เลี้ยวปาดหน้าเบียดรถจักรยานยนต์ซึ่งจะขับไปทางตรง จนทำให้รถจักรยานยนต์เสียหลักล้มกระแทกพื้นอย่างแรง เคราะห์ดีที่ล้อหลังไม่เหยียบศรีษะลูกคนโตที่ซ้อนท้าย จากนั้นคนขับกระบะสวมเสื้อสีส้ม อายุประมาณ 60 – 70 ปี ก็ลงจากรถมายืนดู แต่กลับไม่ช่วยเหลือหรือถามอาการผู้บาดเจ็บสักคำ มีเพียงพนักงานในปั้มน้ำมันวิ่งเข้ามาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้ง 3 แล้วโทรแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ และกู้ภัยฯ ให้มาช่วยนำส่งโรงพยาบาล แต่ช่วงชุลมุนที่กำลังช่วยเหลือคนเจ็บจู่ๆ ลุงคนขับกระบะก็เดินขึ้นรถทำเนียนไปเข้าห้องน้ำในปั้ม ก่อนจะขับหลบหนีไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จึงมีคนนำคลิปเหตุการณ์ไปโพสต์โซเชียล เพื่อให้ช่วยตามรถกระบะคันก่อเหตุมารับผิดชอบ และมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่ต่างประณามคนขับกระบะใจดำ ไร้มีจิตสำนึก พร้อมวอนเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามคนขับรถกระบะมาดำเนินคดี
จากการสอบถาม น.ส.ภคินี ผู้เป็นแม่ เล่าว่า ตอนประมาณ 7 โมงเช้าวันนี้ ได้ขับ จยย.จะไปส่งลูกสาว 2 คนซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.3 และ ม.5 ที่โรงเรียนเทศบาล 1 ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ แต่พอถึงหน้าปั้มน้ำมันจู่ๆ รถกระบะก็ขับปาดเข้ามาเบียดรถจักรยานยนต์จนรถล้มกระแทกพื้นปูนซีเมนต์อย่างแรง จนตนเองและลูกสาวได้รับบาดเจ็บ มีแผลทั้งใบหน้า มือ แขน และขา โดยเฉพาะตนเองซึ่งอายุมากแล้วถึงกับลุกไม่ขึ้น กระทั่งพนักงานปั้มวิ่งมาช่วยประคองเพื่อรอรถกู้ภัย แต่ตอนที่พนักงานปั้มน้ำมันเข้ามาช่วยก็เห็นลุงที่ขับกระบะชนตนเองกับลูก เดินลงมาจากรถมายืนดูเฉยๆ แต่ไม่เข้ามาช่วยและไม่ถามอะไรสักคำ ตอนนั้นตกใจและเจ็บแผลจึงไม่ได้นึกถึงอย่างอื่น แต่พอช่วงชุลมุนลุงกระบะก็ขับไปเข้าห้องน้ำในปั้มน้ำมัน แล้วก็หนีไปเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ใจดำมาก หากลุงแสดงน้ำใจเข้ามาช่วยหรือถามอาการบาดเจ็บหรือดูแลค่ารักษาบ้างก็จะไม่ติดใจเอาความเพราะถือเป็นอุบัติเหตุ แต่นี่ลุงไม่สนใจแถมยังขับหนีไปเลย ก็รู้สึกโกรธและที่เสียใจคือ ตนก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอาชีพรับจ้างทั่วไปหลังโควิดไม่ค่อยมีคนจ้าง
วันนี้ตั้งในนำเงินที่เก็บสะสมไว้เป็นค่าเทอมให้ลูก 4,500 บาท จะเอาไปจ่ายค่าเทอมให้ลูกก็ไม่ได้จ่าย กลับต้องไปจ่ายค่ารักษาตัวเองและลูกแทน เพราะอุบัติเหตุใช้สิทธิ 30 บาทไม่ได้ ตอนนี้เหลือเงินอยู่พันกว่าบาท ไม่พอจ่ายค่าเทอมก็ไม่รู้จะไปหยิบยืมใคร กลัวว่าถ้าจ่ายไม่ทันลูกจะหมดสิทธิ์สอบ เพราะทาง ร.ร.ทวงถามมาหลายครั้งแล้ว ก็อยากฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเร่งติดตามตัวคนขับ และฝากถึงลุงคนขับกระบะหากยังมีจิตสำนึกอยู่ ก็ให้กลับมาแสดงความรับผิดชอบตนและลูกสาวบ้าง
ด้าน น.ส.สุรีรัตน์ พลอยเพ็ชร์ พนักงานปั้มน้ำมัน ที่โพสต์คลิป บอกว่า สงสาร 3 แม่ลูก ที่ถูกกรถระบะชนแล้วหนี โดยเฉพาะลูกสาวคนเล็กเห็นยืนร้องไห้ตลอด ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าลุงคนขับกระบะซึ่งก็ลงมาดูแล้วทำไมไม่ช่วยหรือดูแลค่ารักษาพยาบาลคนเจ็บตั้งแต่ตอนแรก ทำให้ถึงขับหนีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซึ่งเป็นการกระทำที่ใจดำมาก ก็อยากฝากให้ลุงคนขับออกมาแสดงความผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. (2 มี.ค.64)ได้เกิดอุบัติเหตุรถกระบะขับปาดหน้าเบียดรถจักรยานยนต์ 3 แม่ลูก ล้ม ที่บริเวณหน้าปั้มน้ำมันบางจาก ถนนสายบุรีรัมย์ – ประโคนชัย ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ทำให้ 3 แม่ลูกได้รับบาดเจ็บ โดยกล้องวงจรปิดของปั้มน้ำมันดังกล่าวสามารถบันทึกภาพอุบัติเหตุไว้ได้อย่างชัดเจน โดยในคลิปจะเห็นว่า รถยนต์กระบะสี่ประตู ยี่ห้อโตโยต้าวีโก้ สีขาว ได้ขับตีคู่กับรถจักรยานยนต์มา แต่พอถึงหน้าปั้มรถกระบะก็เลี้ยวปาดหน้าเบียดรถจักรยานยนต์ซึ่งจะขับไปทางตรง จนทำให้รถจักรยานยนต์เสียหลักล้มกระแทกพื้นอย่างแรง เคราะห์ดีที่ล้อหลังไม่เหยียบศรีษะลูกคนโตที่ซ้อนท้าย จากนั้นคนขับกระบะสวมเสื้อสีส้ม อายุประมาณ 60 – 70 ปี ก็ลงจากรถมายืนดู แต่กลับไม่ช่วยเหลือหรือถามอาการผู้บาดเจ็บสักคำ มีเพียงพนักงานในปั้มน้ำมันวิ่งเข้ามาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้ง 3 แล้วโทรแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ และกู้ภัยฯ ให้มาช่วยนำส่งโรงพยาบาล แต่ช่วงชุลมุนที่กำลังช่วยเหลือคนเจ็บจู่ๆ ลุงคนขับกระบะก็เดินขึ้นรถทำเนียนไปเข้าห้องน้ำในปั้ม ก่อนจะขับหลบหนีไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จึงมีคนนำคลิปเหตุการณ์ไปโพสต์โซเชียล เพื่อให้ช่วยตามรถกระบะคันก่อเหตุมารับผิดชอบ และมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่ต่างประณามคนขับกระบะใจดำ ไร้มีจิตสำนึก พร้อมวอนเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามคนขับรถกระบะมาดำเนินคดี
จากการสอบถาม น.ส.ภคินี ผู้เป็นแม่ เล่าว่า ตอนประมาณ 7 โมงเช้าวันนี้ ได้ขับ จยย.จะไปส่งลูกสาว 2 คนซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.3 และ ม.5 ที่โรงเรียนเทศบาล 1 ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ แต่พอถึงหน้าปั้มน้ำมันจู่ๆ รถกระบะก็ขับปาดเข้ามาเบียดรถจักรยานยนต์จนรถล้มกระแทกพื้นปูนซีเมนต์อย่างแรง จนตนเองและลูกสาวได้รับบาดเจ็บ มีแผลทั้งใบหน้า มือ แขน และขา โดยเฉพาะตนเองซึ่งอายุมากแล้วถึงกับลุกไม่ขึ้น กระทั่งพนักงานปั้มวิ่งมาช่วยประคองเพื่อรอรถกู้ภัย แต่ตอนที่พนักงานปั้มน้ำมันเข้ามาช่วยก็เห็นลุงที่ขับกระบะชนตนเองกับลูก เดินลงมาจากรถมายืนดูเฉยๆ แต่ไม่เข้ามาช่วยและไม่ถามอะไรสักคำ ตอนนั้นตกใจและเจ็บแผลจึงไม่ได้นึกถึงอย่างอื่น แต่พอช่วงชุลมุนลุงกระบะก็ขับไปเข้าห้องน้ำในปั้มน้ำมัน แล้วก็หนีไปเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ใจดำมาก หากลุงแสดงน้ำใจเข้ามาช่วยหรือถามอาการบาดเจ็บหรือดูแลค่ารักษาบ้างก็จะไม่ติดใจเอาความเพราะถือเป็นอุบัติเหตุ แต่นี่ลุงไม่สนใจแถมยังขับหนีไปเลย ก็รู้สึกโกรธและที่เสียใจคือ ตนก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอาชีพรับจ้างทั่วไปหลังโควิดไม่ค่อยมีคนจ้าง
วันนี้ตั้งในนำเงินที่เก็บสะสมไว้เป็นค่าเทอมให้ลูก 4,500 บาท จะเอาไปจ่ายค่าเทอมให้ลูกก็ไม่ได้จ่าย กลับต้องไปจ่ายค่ารักษาตัวเองและลูกแทน เพราะอุบัติเหตุใช้สิทธิ 30 บาทไม่ได้ ตอนนี้เหลือเงินอยู่พันกว่าบาท ไม่พอจ่ายค่าเทอมก็ไม่รู้จะไปหยิบยืมใคร กลัวว่าถ้าจ่ายไม่ทันลูกจะหมดสิทธิ์สอบ เพราะทาง ร.ร.ทวงถามมาหลายครั้งแล้ว ก็อยากฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเร่งติดตามตัวคนขับ และฝากถึงลุงคนขับกระบะหากยังมีจิตสำนึกอยู่ ก็ให้กลับมาแสดงความรับผิดชอบตนและลูกสาวบ้าง
ด้าน น.ส.สุรีรัตน์ พลอยเพ็ชร์ พนักงานปั้มน้ำมัน ที่โพสต์คลิป บอกว่า สงสาร 3 แม่ลูก ที่ถูกกรถระบะชนแล้วหนี โดยเฉพาะลูกสาวคนเล็กเห็นยืนร้องไห้ตลอด ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าลุงคนขับกระบะซึ่งก็ลงมาดูแล้วทำไมไม่ช่วยหรือดูแลค่ารักษาพยาบาลคนเจ็บตั้งแต่ตอนแรก ทำให้ถึงขับหนีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซึ่งเป็นการกระทำที่ใจดำมาก ก็อยากฝากให้ลุงคนขับออกมาแสดงความผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น