STARK เผยงวดไตรมาส 4/63 ทำกำไรสุทธิกว่า 445 ล้านบาท ระบุเกิดจากการดำเนินงานจริง ไม่ใช่รับรู้จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ชี้ต้นทุนทองแดง ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักนำไปคำนวณรวมกับราคาขายแล้ว ย้ำบริษัทไม่ต้องรับภาระความผันผวนของราคาเนื่องจากขายสินค้าแบบ pass through ส่วนปี 64 ย้ำเดินหน้ารับรู้งานในมือหนุนที่มีกว่า 8,400 ล้านบาท มั่นใจผลักดันรายได้เติบโต 10-15% ทุบสถิตินิวไฮต่อเนื่อง
นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยถึงภาพรวมกำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/2563 ที่ทำได้ 445 ล้านบาท ว่าเป็นกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นเป็นการดำเนินจากธุรกิจอย่างแท้จริง และไม่ได้รับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบหลักซึ่งเป็นสินแร่ทองแดงมีความผันผวนสูง และเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลักของบริษัท ทำให้บริษัทใช้นโยบายการนำไปรวมกับราคาสินค้าที่จำหน่ายให้กับลูกค้าไว้แล้ว ดังนั้นบริษัทจึงไม่ต้องรับภาระและไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร
"ที่ผ่านมา บริษัทได้นำต้นทุนวัตถุดิบไปรวมไว้กับราคาขายให้กับลูกค้าแล้ว หรือที่เราเรียกกันว่า pass through ซึ่งลูกค้ารับทราบและยอมรับในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ผลิตที่สามารถผลิตได้ตรงความต้องการลูกค้าจำนวนไม่มาก รวมทั้งต้องใช้เวลานานทำให้บริษัทฯ ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ขณะเดียวกันต้นทุนในส่วนนี้สำหรับลูกค้าถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนรวมทั้งหมด"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวต่อถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 คาดว่ารายได้จะเติบโตเพิ่มขึ้น 15-20% มั่นใจว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีก เนื่องจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ล มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรมไฟฟ้า ซึ่งแผนการลงทุน 5 ปี (2563-2567) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมราว 2 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนพัฒนาระบบส่ง และจำหน่ายไฟฟ้า
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 8,400 ล้านบาท โดยเป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯมีความพร้อมที่จะยื่นเข้าประมูลงานโครงการใหม่อีกจำนวนมาก ส่วนกลยุทธ์ในการบริหารในปีนี้จะมุ่งเน้นการขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสามารถในการทำกำไรได้สูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลาง จนถึงระดับสูงพิเศษที่มีการเติบโตสูง เพื่อรองรับโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน พร้อมกับการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัท จะช่วยให้เพิ่มความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น
นอกจากนี้การเข้าไปลงทุนประเทศเวียดนามสามารถสร้างมูลค่าให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมีแผนจะบุกตลาดสหรัฐ หลังจากที่จีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ถูกกีดกันด้วยกำแพงภาษี จึงเป็นโอกาสที่ดี ขณะที่ตลาดสหรัฐ มีความต้องการใช้สายไฟฟ้า และเคเบิ้ลคุณภาพสูงจำนวนมาก โดยบริษัทคาดว่าจะใช้โรงงานในเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของฐานการผลิต เพื่อส่งออกไปรวมถึงหาโอกาสใหม่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งในปีนี้มีเป้าหมายสัดส่วนรายได้การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 10-12% จากเดิม 8% โดยคาดว่าจะมีการส่งออกไปยัง 50 ประเทศ