วันที่ 1 มี.ค.64 ที่โรงพยาบาลตำรวจ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบเงินบำรุงขวัญข้าราชการการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่เหตุชุมนุมเมื่อวานที่ผ่านมา(28 กุมภาพันธ์) พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า มีตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ 27 ราย รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 25 ราย กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน 2 ราย และมีตำรวจเสียชีวิต 1 ราย ส่วนกรณีตำรวจเสียชีวิตมีกระแสข่าวออกมาว่าใช้กำลังโดยที่ไม่ได้มีการพักผ่อน ทาง ผบ.ตร. กล่าวว่า ใช้กำลังตามห้วงเวลาปฏิบัติ แต่ว่างานตำรวจมีเยอะ จะบอกว่าใช้โดยไม่ได้พักผ่อนคงเป็นการหาเรื่องกัน แต่เมื่อเขาเสียชีวิต เราก็ดูแลกำลังพลของเรา ส่วนเรื่องการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมยังยืนยันหลักการเดิม ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา ตำรวจพยายามหาความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรง จริงๆ ไม่มีใครต้องอยากให้เกิดความรุนแรง ตำรวจไม่เคยสนับสนุนเรื่องการใช้กำลัง แต่เมื่อจำเป็นต้องบังคับ สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรง ก็ต้องเรียนรู้ไปทุกครั้งว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ล่าสุดจะเห็นว่า จากที่เคยมีแกนนำ รถเครื่องขยายเสียง มีการควบคุมมวลชน ซึ่งครั้งนี้หายไป และจะมีกลุ่มหนึ่งที่เริ่มใช้กำลังกับเจ้าหน้าที่เลย ตนไม่ขอพูดว่าเป็นเรื่องเจตนาหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงมีคนกลุ่มหนึ่งตั้งใจที่จะทำแบบนั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า มีการพูดคุยหลายครั้งว่าตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายเท่าที่จำเป็น หากไม่มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ ทำลายเครื่องกีดขวาง หรือพยายามฝ่าฝืนคำเตือน คงไม่มีเรื่องแบบนี้ พอมีแล้วมันควบคุมยาก แม้แต่ตัวผู้ชุมนุมเองก็คุมกันไม่ได้ ถ้าเกิดมีความสูญเสียขึ้นมาเป็นเรื่องที่ทุกคนเสียใจไม่ได้ประโยชน์อะไร ถามว่าการใช้อาวุธในการควบคุมฝูงชนระดับสูงสุดเป็นอาวุธชนิดใด พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า อาวุธไม่มีสูงมีต่ำ อยุ่ที่คุณสมบัติว่าจะใช้กับสถานการณ์อะไร ถ้าถามว่าระหว่างกระบองกับกระสุนยาง อันไหนรุนแรงกว่ากัน ตอบไม่ได้ ซึ่งหากใช้กระบองตีเข้าตรงจุดที่ไม่ควรตีก็รุนแรง ในขณะเดียวกันหากใช้กระสุนยางยิงในสิ่งที่สมควรยิงก็ไม่รุนแรง เพราะกระสุนยางใช้กับเป้าหมายที่มีระยะไกล หากระยะประชิดต้องใช้กระบอง ทั้งนี้อุปกรณ์มีคุณสมบัติประจำตัว ไม่มีการเรียงลำดับใช้ก่อนหลัง ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ขณะนั้นต้องใช้อะไร คนที่อยู่ระยะไกลใช้หนังสติ๊กยิงใส่ตำรวจ จะให้เอากระบองไปตีมันไม่ถึง แต่ของที่เราใช้ทุกอย่างเป็นมาตรฐานสากล ใช้ในการควบคุมฝูงชน และครั้งนี้ไม่ได้สลายการชุมนุม แต่เป็นการจับกุมคนที่กำลังใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นความผิดซึ่งหน้า ถามว่ากรณียูเอ็นออกมาติงการใช้กระสุนยางแม้จะเป็นหลักสากลแต่ตำแหน่งที่ยิงต้องไม่ยิงเข้าลำตัว แต่ปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมโชว์บาดแผลถูกยิงกลางลำตัว ผบ.ตร. กล่าวว่า ยูเอ็นไหนที่บอก ช่วยไปหาให้หน่อย มันอยู่ที่ว่าจะยิงตรงไหนที่จะทำให้เขาหยุด แล้วไม่ทำให้เกิดอันตรายเกินเหตุ ต่อข้อถามที่สังคมมองว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์บานปลายเนื่องจากตำรวจเลือกใช้กระสุนยาง พล.ต.อ.สุวัฒน์ ชี้แจงว่า เราเลือกใช้เมื่อจำเป็น ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปยิงใคร ก็ต้องดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรถึงต้องใช้ ส่วนกรณีมีภาพตำรวจเตรียมปืนช็อตไฟฟ้ามาด้วยนั้น มีการเตรียมมาจริง แต่ไม่มีใครใช้ คนที่พกเขาผ่านการฝึกมาแล้ว พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ความรุนแรงเมื่อมันมีการเริ่มแล้ว มันยากที่จะควบคุม เราไม่มีนโยบายสนับสนุนการใช้ความรุนแรงใดใดทั้งสิ้น แต่ถ้าจะดูก็ต้องดูให้ครบบริบทว่าเหตุการณ์นี้พัฒนาจากอะไรไม่ใช่อยู่ดีๆ เข้าไปใช้ความรุนแรงมันไม่ใช่แบบนั้น เป็นขั้นเป็นตอนของมัน มีเหตุที่เริ่มขึ้นมาอย่างไรก็ต้องไปดูตั้งแต่ต้นว่าเป็นมาเป็นไปอย่างไรถึงเกิดเหตุแบบนั้น ตนถึงบอกว่าเมื่อมันเกิดเรื่องมันยากที่จะควบคุมแม้แต่ม็อบเองก็คุมกันไม่ได้ เราให้ทีมงานแตะฟุตบอลในสนาม เราก็ต้องบอกว่าอย่าไปฟาวล์เขา แต่บางครั้งท่านก็เห็นนักฟุตบอลไม่ไหวก็แตะฟาวล์ก็มี ถูกใบแดงถูกไล่ออก แต่โดยหลักไม่ควรมีเรื่องอย่างนี้ ผมถึงได้ย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องนี้ ถ้ามีใครได้เริ่มโอกาสที่คุมจะยาก ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ใครทำผิดก็ว่าไป เมื่อถามว่าต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เรื่องนี้เรามีบทเรียนอยู่แล้ว ส่วนถ้าเป็นคดีความก็มีการแจ้งกันไปกันมาอยู่แล้ว คงทำเป็นหลักปฏิบัติอยู่แล้ว ส่วนการจับกุมผู้ชุมนุมผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถตอบได้ว่าจะถูกควบคุมตัวไปที่ใด โดยหลักปฏิบัติคนที่สั่งการก็จะรู้ แต่บางทีผู้ปฏิบัติเด็กๆ อาจจะไม่ทราบ เดี๋ยวจะพยายามประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น