ถือเป็นโรคระบาด ที่ส่งผลกระทบพ่นพิษอย่างร้ายเหลือ ยิ่งกว่าโรคระบาดยุคไหนๆ สำหรับ โรคโควิด-19 หรือไวรัสโคโรนา 2019 (พ.ศ. 2562) ที่กำลังอละวาดในพื้นที่ 219 ประเทศทั่วโลก ณ ชั่วโมงนี้ หลังจากที่เริ่มอุบัติขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 ก่อนลากยาวตลอดปี 2020 (พ.ศ. 2563) ที่เพิ่งผ่านพ้นไป โดยผลกระทบต่อระบบสุขภาพ สาธารณสุขโลกนั้น โควิด-19 ก็ทำให้ผู้คนล้มป่วยติดเชื้อสะสมไปแล้วจำนวนราว 114 ล้านคน ในจำนวนนี้ถูกไวรัสโควิดฯ ปลิดชีพไปแล้วกว่า 2.5 ล้านคน ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบสาหัสที่สุด เพราะมีทั้งผู้ป่วยติดเชื้อ และผู้ป่วยที่เสียชีวิตมากที่สุดในโลก ก็ได้แก่ “สหรัฐอเมริกา” เจ้าของฉายาเมืองลุงแซม ด้วยจำนวนตัวเลขของผู้ป่วยติดเชื้อมีมากว่า 29 ล้านคน และผู้ป่วยที่ถูกโควิดฯ ปลิดชีวิตจำนวนมากกว่า 5.19 แสนคน ทว่า ไวรัสโควิด-19 หาได้ส่งผลกระทบต่อเฉพาะระบบสุขภาพ สาธารณสุขโลกเท่านั้น แต่ยังพ่นพิษไปถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกอีกต่างหากด้วย ไม่เว้นกระทั่ง “สหรัฐฯ” อีกเช่นเคย ที่แม้ขึ้นชื่อว่า เป็นมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกในด้านต่างๆ รวมถึงเศรษฐกิจ แต่ก็ถูกไวรัสโควิดฯ เล่นงานจนงอมพระรามตลอดช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา ตามการเปิดเผยของทางการสหรัฐฯ ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศ ถูกพิษไวรัสโควิดฯ เล่นงานจนตกอยู่ในสภาวะถดถอย หรือติดลบ โดยรวมทั้งปี 2020อยู่ที่ราวร้อยละ -3.5 (-3.5%) ถึงร้อยละ -4.3 (-4.3%) สำหรับ ตัวเลขจีดีพี คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ของสหรัฐฯ เฉลี่ยโดยรวมของหเมื่อปีที่แล้ว มิหนำซ้ำแต่เมื่อพิจารณาแยกแยะในบางช่วงเวลาของปี 2020 ดังกล่าว ปรากฏว่า โควิดฯ ทำพิษต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ให้อยู่ในภาวะถดถอย หรือติดลบหนักไปกว่านั้น ทั้งนี้ ตัวเลขจีดีพีของสหรัฐฯ เมื่อปี 2020 ที่ถดถอยจนติดลบร้อยละ 3.5 – 4.3 ข้างต้น นักเศรษฐศาสตร์บอกว่า ถือเป็นตัวเลขที่ตกต่ำหนักที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 1946 (พ.ศ. 2489) เป็นต้นมาเลยก็ว่าได้ นอกจากกระทบต่อจีดีพีของประเทศแล้ว ไวรัสโควิดฯ ยังสำแดงฤทธิ์พ่นพิษต่อสถานการณ์ภาวะหนี้ของประชาชนชาวอเมริกัน จนเข้าสู่สภาวะวิกฤติหนี้ของชาวสหรัฐฯ หรือชาวลุงแซม กันอีกต่างหาก จากการที่ไวรัสโควิด-19 ทำให้ชาวอเมริกันตกอยู่ในสภาวะยากจนลง เพราะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่จากโรคระบาดที่พ่นพิษต่อด้านอื่นๆ ตามมา เช่น ทำให้ชาวอเมริกันตกงานเพิ่มมากขึ้น โดยมีการระบุกันว่า ชาวสหรัฐฯ ในช่วงขวบปีที่ผ่านมา ต้อง “เตะฝุ่น” คือ ว่างงาน เพราะต้องตกงานเป็นจำนวนหลายสิบล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งสิ้นกว่า 328 ล้านคน ผลพวงจากการว่างงาน ก็ตามมาด้วยรายได้ของประชากรที่ลดลงไป หรือถึงขั้นไม่มีรายได้เลย โดยมีรายงานว่า ชาวสหรัฐฯ ยากจนลง ชนิดมีสภาพความเป็นอยู่ในภาวะยากจนจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อปี 2019 (พ.ศ. 2562) ชาวสหรัฐฯ มีสภาพความเป็นอยู่ยากจนจำนวน 34 ล้านคน แต่เมื่อถูกไวรัสโควิดฯ เล่นงาน ทำให้เมื่อปีที่แล้ว จำนวนของประชากรชาวสหรัฐฯ ตกอยู่ในสภาพเป็นอยู่ยากจนมากกว่า 40 ล้านคนด้วยกัน พร้อมกันนั้น ก็ส่งผลกระทบตามมาทำให้หนี้ของประชาชนชาวอเมริกัน ทะยานพุ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว จนกลายเป็น “วิกฤติหนี้” ตามมา แบบกระทบไปในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคการศึกษาและภาคสาธารณสุข โดยการเปิดเผยของ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือ “เฟด” ที่ประเมินออกมาแต่ละไตรมาส ก็ระบุว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว วิกฤติหนี้ของชาวสหรัฐฯ ที่กู้ยืมมาเพื่อการศึกษารวมแล้วมากกว่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเฉลี่ยแล้ว ก็มีหนี้กันคนละ 37,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับเปรียบเทียบว่า มากกว่าในเยอรมนี ที่มีหนี้สินจากการกู้ยืมเพื่อการศึกษานี้เพียงเฉลี่ยคนละ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ส่วนหนี้สินที่เกี่ยวกับสาธารณสุข การรักษาพยาบาล ก็ปรากฏว่า ชาวอเมริกันตกเป็นหนี้สินในด้านนี้เพิ่มสูงขึ้น พร้อมยกตัวอย่างจากสถานการณ์ของบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อด้านการแพทย์แห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า มีลูกค้าที่ยังคงจ่ายจำนวนถึง 20 ล้านคน ด้วยจำนวนมูลค่าหนี้รวมกันแล้วมากถึง 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเฉลี่ยแล้วก็คนละ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นเดียวกับตัวเลขของหนี้ภาคครัวเรือน ปรากฏว่า ครัวเรือนในสหรัฐฯ ต่างมีหนี้สินรุงรังเพิ่มมากขึ้น ในช่วงที่ไวรัสโควิดฯ แพร่ระบาดเมื่อช่วงขวบปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับปีก่อนๆ โดยมีตัวเลขว่า หนี้ภาคครัวเรือนของสหรัฐฯ ในปี 2020 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปมีจำนวนรวมแล้วมากกว่า 14.35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเป็นผลที่กระทบมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ พ่นพิษซ้ำเติมวิกฤติหนี้ในสหรัฐฯ ที่เดิมก็หนักหนาพอแรงอยู่แล้ว ให้สาหัสกันยิ่งขึ้น