วันนี้(25 กพ.64) กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ, พ.ต.อ.ณัฐพล ปิตะบุตร,พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม, พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป.,พ.ต.อ.ภาณุทัต เหลืองสัจจกุล ผกก.สส.ภจว.นครปฐม, พ.ต.อ.ภูเบศ แสงอร่าม ผกก.สภ.แม่สอด พ.ต.ท.ภัทรพันธ์ พูลทวี สว.กก.4 บก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก. 4 บก.ป. ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจกก.สส.ภ.จว.นครปฐม และ สภ.แม่สอด จ.ตาก
จับกุม นายกันตพิสุทธิ์ หรือเต้ย (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี อาชีพรับจ้าง ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัด แม่สอด ที่ 4/2564 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ผู้เสียหายซึ่งเป็นบริษัทรับขนส่งสินค้า ได้รับการติดต่อจากผู้ต้องหาผ่านแอปพลิเคชันเฟสบุ๊ค โดยผู้ต้องหาอ้างตัวเป็นตัวแทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง ต้องการใช้บริการรถเทลเลอร์ของทางผู้เสียหาย เพื่อนำไปใช้ขนส่งสินค้า เมื่อผู้เสียหายตกลงรับงานและได้ดำเนินการขนส่งสินค้าตามที่ได้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้ต้องหากลับไม่ชำระค่าบริการในการขนส่งตามที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อพยายามติดต่อไปยังผู้ต้องหา ก็ไม่สามารถติดต่อได้แต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา โดยทางพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหามีพฤติกรรมในการหลอกลวง โดยจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง รับงานมาจากผู้ว่าจ้าง และติดต่อหาบริษัทฯ มาดำเนินงานตามที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อการดำเนินงานตามที่ตกลงไว้เสร็จสิ้น ผู้ต้องหากลับไม่ยอมนำเงินค่าจ้าง มาชำระให้กับทางบริษัทฯ ที่รับจ้างดำเนินงานแต่อย่างใด โดยมีผู้ถูกหลอกลวงและได้รับความเสียหายในลักษณะดังกล่าวกว่า 25 ราย และกลุ่มผู้ถูกหลอกลวงได้มีการแจ้งเตือนกันผ่านเว็ป บอร์ด, เพจเฟสบุ๊คกลุ่มซื้อขาย/รับจ้างรถบรรทุก ต่างๆ
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป.ร่วมกับ กก.สส.ภ.จว.นครปฐม และ สภ.แม่สอด ได้สืบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหารายนี้ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่ คอนโดมิเนียม ย่านถนนราชมรรคา ต.สนามจันทร์ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ลงื้นที่ตรวจสอบ เมื่อพบผู้ต้องหาจึงได้ทำการจับกุมตัว และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบถาม ผู้ต้องหารับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่าตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ตนได้แอบอ้างใช้ชื่อบริษัทขนส่งต่างๆ มาก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว โดยก่อเหตุในพื้นที่ จ.ตาก, จ.สุโขทัย, จ.อุดรธานี และ จ.นครศรีธรรมราช โดยก่อเหตุมาแล้วประมาณ 25 ครั้ง ได้รับเงินมาจากผู้เสียหายรวมประมาณ 1 ล้านบาท มีบางส่วนได้ทยอยชดใช้ให้กับผู้เสียหายไปบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะนำเงินที่ได้มาไปเที่ยวเตร่จนหมด
สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ผู้เสียหายซึ่งเป็นบริษัทรับขนส่งสินค้า ได้รับการติดต่อจากผู้ต้องหาผ่านแอปพลิเคชันเฟสบุ๊ค โดยผู้ต้องหาอ้างตัวเป็นตัวแทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง ต้องการใช้บริการรถเทลเลอร์ของทางผู้เสียหาย เพื่อนำไปใช้ขนส่งสินค้า เมื่อผู้เสียหายตกลงรับงานและได้ดำเนินการขนส่งสินค้าตามที่ได้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้ต้องหากลับไม่ชำระค่าบริการในการขนส่งตามที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อพยายามติดต่อไปยังผู้ต้องหา ก็ไม่สามารถติดต่อได้แต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา โดยทางพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหามีพฤติกรรมในการหลอกลวง โดยจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง รับงานมาจากผู้ว่าจ้าง และติดต่อหาบริษัทฯ มาดำเนินงานตามที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อการดำเนินงานตามที่ตกลงไว้เสร็จสิ้น ผู้ต้องหากลับไม่ยอมนำเงินค่าจ้าง มาชำระให้กับทางบริษัทฯ ที่รับจ้างดำเนินงานแต่อย่างใด โดยมีผู้ถูกหลอกลวงและได้รับความเสียหายในลักษณะดังกล่าวกว่า 25 ราย และกลุ่มผู้ถูกหลอกลวงได้มีการแจ้งเตือนกันผ่านเว็ป บอร์ด, เพจเฟสบุ๊คกลุ่มซื้อขาย/รับจ้างรถบรรทุก ต่างๆ
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป.ร่วมกับ กก.สส.ภ.จว.นครปฐม และ สภ.แม่สอด ได้สืบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหารายนี้ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่ คอนโดมิเนียม ย่านถนนราชมรรคา ต.สนามจันทร์ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ลงื้นที่ตรวจสอบ เมื่อพบผู้ต้องหาจึงได้ทำการจับกุมตัว และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบถาม ผู้ต้องหารับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่าตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ตนได้แอบอ้างใช้ชื่อบริษัทขนส่งต่างๆ มาก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว โดยก่อเหตุในพื้นที่ จ.ตาก, จ.สุโขทัย, จ.อุดรธานี และ จ.นครศรีธรรมราช โดยก่อเหตุมาแล้วประมาณ 25 ครั้ง ได้รับเงินมาจากผู้เสียหายรวมประมาณ 1 ล้านบาท มีบางส่วนได้ทยอยชดใช้ให้กับผู้เสียหายไปบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะนำเงินที่ได้มาไปเที่ยวเตร่จนหมด