นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ด้วยมีชาวบ้านในบริเวณชุมชนวัดรังสิต หมู่ 7 ต.หลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ได้ร้องเรียนมาว่ามีสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงหนึ่งกำลังก่อสร้างที่พักอาศัยขึ้นบริเวณเชิงตลิ่งริมคลองเปรมประชากร โดยได้ว่าจ้างให้บริษัทเอกชนมาเป็นผู้รับจ้างในการก่อสร้างบ้านมั่นคงชุมชนริมคลองเปรมประชากร ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีการนำดินจากพื้นที่อื่นมาถมปรับสภาพพื้นที่เดิม และชยายรุกล้ำเข้าไปในคลองอีกมาก จนทำให้คลองเปรมประชากรที่เคยมีสภาพความกว้างของคลองกว่า 50 เมตร เหลือความกว้างไม่ถึง 20 เมตร โดยการนำพื้นที่ที่ถมใหม่นั้นไปสร้างบ้านมั่นคง ทั้งนี้ พื้นที่คลองและพื้นที่ริมตลิ่งริมคลองดังกล่าว ย่อมมีสภาพเป็นคลองสาธารณะ ที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันตามกฎหมาย ดังนั้นการที่มีสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคง นำดินมาถมรุกล้ำแล้วแสดงความเป็นเจ้าของย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคลองดังกล่าวถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.1304(2) จึงต้องห้ามมิให้ใครเข้าไปยึดถือครอบครอง ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ม.9(1)(2) และ(3) หากผู้ใดฝ่าฝืนย่อมมีความผิดตาม ม.108 ทวิ วรรคสอง ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายโดยชัดเจน นอกจากนั้น ยังพบว่า มีการนำรถบรรทุก ทั้งรถ 10 ล้อ และรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ เข้ามาวิ่งขนถ่ายดินในพื้นที่ดังกล่าว โดยน่าจะมีการบรรทุกดินที่เกินกว่าข้อกำหนดของกฎหมาย โดยทำให้ดินล่วงหล่นบนพื้นผิวการจราจร และก่อให้เกิดฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย ทำให้เกิดความเดือดร้อนและเสียหายไปทั่วบริเวณ โดยไม่มีการนำรถบรรทุกน้ำมารดอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลาแต่อย่างใด ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำชาวบ้านในพื้นที่รังสิตที่ได้รับความเดือดร้อน ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคล องค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในความผิดฐานเจตนาบุกรุกเข้ายึดถือครอบครองที่ชายตลิ่งริมคลอง อันเป็นที่ดินของรัฐประเภทที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ด้วยการถมดินรุกล้ำลงไปในคลอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน ม.9(1) ม.108 ทวิ วรรคสอง และให้ขุดลอกนำดินที่ถมลงไปในคลองดังกล่าวออกจากคลองนั้นเสีย โดยจะเดินทางไปแจ้งความในวันเสาร์ที่ 20 ก.พ.64 เวลา 10.00 น. ณ สถานีตำรวจภูธรปากคลองรังสิต อ.เมือง จ.ปทุมธานี นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด