อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...หัวหมู่ทะลวงฟัน แต่ฟันไม่เข้า เพราะใช้ข้อมูลเท็จเป็นอาวุธ ฟันรัฐบาลและสถาบันฯ นายวิโรจน์ กล่าวว่า..."รู้ทั้งรู้ว่า บริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ นั้นมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แทนที่จะรอบคอบ ประณีต โปร่งใส แต่กลับรวบรัด ขาดความโปร่งใส อำพรางข้อมูลสาธารณะ จนเกิดความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน แทนที่จะสำนึก ขอพระราชทานอภัยโทษ แต่นายกฯ กลับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ฟ้องร้องปิดปาก" ถ้าฟังผ่านๆ เหมือนนายวิโรจน์จะปกป้องสถาบันพระมหากษัติรย์ รวมทั้งยัดข้อหาอย่างที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลและต่อต้านสถาบันฯชอบทำเสมอคือ กล่าวหาว่าการใช้ ม.112 คือเครื่องมือทางการเมืองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่เราลองมาฟังท่อนต่อไปที่นายวิโรจน์ กล่าวว่า..."ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน หัวเด็ดตีนขาด ก็ต้องเอาชีวิต และปากท้อง ของประชาชนทั้งประเทศไป กระจุกความเสี่ยงและรอคอย วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่จะผลิตโดยบริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ เห็นอะไรจากประโยคท่อนนี้ ? เห็นหรือไม่ว่าวิโรจน์กำลังพูดโจมตี สยามไบโอไซเอนซ์ ตรงๆ แบบเนียลๆ เพราะรู้ว่าธนาธรและพรรคพวกตนเคยชงเรื่องให้ประชาชนคล้อยตามไปเรียบร้อยแล้วว่า สยามไบโอไซเอนซ์ เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และรัฐบาลรวบรัดตัดตอนให้ สยามไบโอไซเอนซ์ ได้เป็นผู้ผลิตวัคซีนเพียงรายเดียวโดยไม่เหลียวแลบริษัทอื่นใด ด้วยยัดข้อหา"ฮั้ว"ให้รัฐบาลที่มุบมิบให้ สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ไปเพียงเจ้าเดียว คราวก่อนธนาธรโดนถล่มเพราะพูดออกมาชัดๆ ว่าเป็นวัคซีนพระราชทาน คราวนี้ลูกสมุนอย่างวิโรจน์จึงระวังคำพูดและเลี่ยงบาลีไปใช้คำว่า"บริษัทเอกชน" นายวิโรจน์ กล่าวว่า...“นายอนุทิน และพล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจไม่เข้าร่วม COVAX กะจะพาประชาชนไปกระจุกความเสี่ยงที่วัคซีนแอสตราเซเนกา ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชน ที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน" "เหตุใดเอาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนไปเสี่ยง กับบริษัทเอกชนที่เพิ่งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน” อ่านดูดีๆ ฟังดูดีๆ จะพบว่า...เขากำลังพุ่งการโจมตีไปที่รัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง ว่า... 1)รัฐบาลรวบรัดให้ สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นบริษัทรายเดียวที่ผลิตวัคซีน 2)ทั้งที่เพิ่งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน 3)เขาไม่กล้าพูดคำว่าวัคซีนพระราชทานและเลี่ยงไปใช้คำว่าบริษัทเอกชน 4)ซึ่งถึงเวลานี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า สยามไบโอไซเอนซ์ มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ 5)สรุปว่า เขาพยายามชี้ให้ประชาชนคล้อยตามว่า "รัฐบาลฮั้วกับสถาบันฯ" ใช่หรือไม่? อีกครั้ง ผมจะช่วยรัฐบาลตอบคำถามว่าทำไมต้องเป็น "แอสตร้าเซนเนก้า" และ "สยามไบโอไซเอนซ์" 1) บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พัฒนาการผลิตวัคซีนเทคโนโลยีชนิด Viral vector เป็นผู้เลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ให้ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีนโควิค ไม่ใช่รัฐบาลไทย โดยเขาได้ประเมินศักยภาพของสยามไบโอไซเอนซ์อย่างเข้มข้น ทั้งเรื่องมาตรฐาน ความสามารถ จนเกิดความเชื่อมั่นย้ำว่า เขาเลือกที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เรากลายเป็นผู้ผลิต รัฐบาลไทยแค่รับข้อเสนอ 2) หากเราจองวัคซีนกับบริษัทอื่น ไทยเราจะอยู่ในลักษณะที่เป็น"ผู้ซื้อ"เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเราเลือกแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเป็น"ผู้ผลิต"วัคซีนระดับโลก ทำไมคุณไม่พอใจว่าไทยมีศักยภาพพอที่จะเป็นผู้ผลิตเอง ทำไมคุณจะไปพอใจกับการที่เราเป็นเพียงผู้ซื้อของมาใช้ ไหนประเทศเราพูดกันมานานแสนนานว่า เราอยากเป็นประเทศผู้ผลิตไง ไปดูตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ไหม ถ้าเราสั่งซื้อรถเป็นคันๆ มาจากต่างประเทศ กับที่เราผลิตได้เองในประเทศ แบบไหนที่ทำให้ไทยเราได้รับประโยชน์สูงกว่ากัน คำตอบคือ ผลิตได้เองในประเทศใช่ไหม ถ้าผลิตได้เองในประเทศดียังไง? คำตอบคือ... 1) ประเทศของเราได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น จากผู้ซื้อกลายเป็นผู้ผลิต 2) ศักยภาพของคนไทยได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น จากผู้ซื้อกลายเป็นผู้ผลิต 3) คนไทยและเมืองไทย พัฒนาไปอีกขั้น ด้วยการเป็นผู้ผลิตสินค้าออกไปขายได้ 4) ในอนาคต เราก็จะมีรายได้จากสิ่งที่เราผลิตได้เอง และคนในประเทศจะซื้อสินค้าที่เราผลิตได้เองในราคาถูก ก่อนจบจะขอแถมให้อีกดอก ว่าพลเมืองของก้าวหน้าก้าวไกลอนาคตใหม่ ผู้ที่ไม่เคยก้าวไปไหนไกล! เพราะมักจะปล่อยข่าวเท็จ หรือเอาข่าวเท็จมาปั่นเสมอ นายวิโรจน์ กล่าวว่า....รัฐบาลอินเดีย เสนอขายวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าในราคาทุน ทำให้รัฐบาลไทยไม่สน คำตอบสำหรับเรื่องนี้คือ... ข่าวดังกล่าวเป็นข่าวเท็จ เป็นข่าวปลอมที่มักเกิดขึ้นในโลกโซเซียล และชาวบ้านขาดสติมักจะเชื่อข่าวเท็จโดยไม่เคยตรวจสอบความถูกต้อง แต่ที่น่าขำคือ คนที่เป็นถึง สส. อย่างนายวิโรจน์ ที่เป็น สส.ที่เรียนจบปริญญาตรี วิศวะ โท MBA และปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์ กลับเชื่อและอ้างอิงข่าวเท็จที่ถูกปั่นขึ้นในโลกเสมือนจริง จากใครก็ไม่รู้ที่เรียนไม่จบปริญญาเอก หรืออาจจะไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แล้วนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่ออภิปรายรัฐบาลในสภาฯ คนระดับหัวหมู่ทะลวงฟันของพรรคก้าวหน้า อาศัยข่าวเท็จในโลกโซเซียลมาเป็นข้อมูลอภิปรายรัฐบาล งามหน้ามั้ยละ น่าสมเพชไหมละท่านผู้ชม แบบนี้จะเหลืออะไรให้น่าเชื่อถือได้ละครับท่าน
ขอขอบคุณข้อมูล และรูปภาพจากเพจเฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค