จากนั้นเวลา 20.51 น. ที่รัฐสภา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย อภิปรายชี้แจงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า ปัญหารถไฟฟ้าสาายสีเขียว มีปัญหาเกิดขึ้นในอดีตที่ทำมา และ ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องเข้าใจความเป็นมา โดย รถไฟฟ้าสายสีเขียว มี3 ช่วง เริ่มที่ 1.สายสีเขียวหลัก คือ เอกชน หรือ บีทีเอส สร้างราง และ วางระบบเดินรถ บริหารเดินรถทั้งหมด ถือเป็นสายเดียวที่สร้างเองทั้งหมดแห่งเดียวในโลก และจะสร้างกำไรจากค่าโดยสารเท่านั้น ระยะเวลา 30 ปี คือ 2542 -2572 จากนั้นเมื่อหมดสัมปทานต้องคืนให้กทม. ต่อมาคือส่วนต่อขยายที่ 1 คือ กทม.ไปสร้างเอง และจ้างเดินบีทีเอสเดินรถ โดย กทม. ไม่มีรถไฟฟ้า จึงควรให้สัมปทาน แต่มีบางรัฐบาลไม่ยอมให้สัมปทาน ก็สร้างปัญหาไปเรื่อยๆ และ มาถึงส่วนต่อขยายที่2 อยู่นอกกรุงเทพฯ รัฐบาลยุคหนึ่งก็โอนไปให้รฟม.สร้างและออกแบบพิเรนทร์ไม่เชื่อมโยงกับส่วนต่อขยายที่1 ซึ่งถือว่าผิด เพราะจริงๆแล้วต้องให้ กทม. สร้างถือเป็นปัญหาโบราณกันมา กระทั่งมีการโอนส่วนต่อขยายที่2 กลับมาให้ กทม. พร้อมหนี้สิน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับหนี้สินที่กทม. ที่รับมาจากรฟม. ประกอบด้วย ส่วนต่อขยายที่2 เกือบ 1 แสนล้านบาท และ ส่วนต่อขยายที่1 ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท อยากถามใครจะแก้ไข รัฐบาล ไม่สามารถสนับสนุนได้เพราะติดปัญหา กฎหมายท้องถิ่น ดังนั้นกทม. ต้องแก้ไขเอง จะกู้ เงินก็ไม่ได้เพราะเลยกรอบกฎหมายหนี้สาธารณะของกทม. ส่วนจะออกตราสารหนี้ ก็ทำไม่ได้ เพราะติดสัมปทาน และเดินรถขาดทุน สุดท้ายเหลือการให้เอกชนเขามา ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย และ รัฐบาลไม่จำเป็นต้องทั้งหมด แต่จะทำอย่างไรจะไม่ให้เอื้อประโยชน์ ไม่ใช่ระบุว่าเอกชนไปรับหนี้บอกว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ แต่ตนจะบอกว่าไม่มีเอกชนอื่นทำได้ เพราะโครงการสายสีเขียวทั้งหมดบิดมาตั้งแต่ต้น และ เป็นปัญหาจะต้องแก้และหากไม่ทำเกิดการฟ้องร้องแล้วจะเสียค่าโง่ “ถามว่าทำไมรีบต่อสัญญาสัมปทาน เพราะหากปล่อยให้ครบสัญญาปี 2572 หนี้ก็มากขึ้น คสช.จึงหาทางแก้โดยออกมาตรา44 คือเวลา เพราะเวลาทำให้เกิดหนี้เพิ่มขึ้น และไปทำอย่างไรมาก็ได้เพราะกทม.ไม่มีเงิน แต่ทำให้ประเทศชาติได้ประโยชน์ ค่าโดยสารไม่แพงเหมาะสมกับประชาชน และเป็นธรรมกับเอกชน และ คสช. ให้มีข้อตกลงคุณธรรม จนมาถึงทั้งหมดจบหรือยัง กระทั้งคณะกรรมการ เจรจาจบแล้ว เพื่อนำเข้าครม.เพื่อเห็นชอบ และ ยืนยันตนนำเรื่องเข้าครม.ไม่ได้มีนอกมีใน เพราะอัยการสูงสุดก็บอกสามารถทำได้ และ ได้ส่งเรื่องไปที่ครม.แล้วตั้งแต่เดือนก.ย. 62 ต่อมาได้มีหน่วยงานต่างๆตั้งข้อสงสัยตลอดมา1 ปีกว่า” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ราคาที่ระบุว่าสายสีเขียวแพง กว่าคือ 65 บาทสายสีน้ำเงิน เก็บค่าโดยสาร42 บาท ขอให้ดูระยะทางควบคู่กับการสนับสนุนกับรัฐซึ่งสายสีเขียวไม่มี ดังนั้นการจะเอื้อหรือไม่เอื้อต้องดูว่าเป็นธรรมหรือไม่ ประเทศชาติ และ ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดหรือไม่ ส่วนค่าโดยสาร104 บาทก็ยังทำให้ กทม. ขาดทุนปี 64 จำนวน 3,981 ล้านบาท และ ถึงปี 2572 จำนวน 37,469 ล้านบาท "ขอให้ประชาชนเข้าใจที่ไปที่มามันมีปัญหา และ ก็หาทางแก้ ท่านเห็นหรือไม่ว่าแก้ด้วยร่วมทุนทำไม่ได้ และหนี้เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครแก้ไข ผิดถูกอย่างไร ครม.ต้องพิจารณา ประชาชนอย่าได้กังวล" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว