วันที่ 17 กุมภาพันธ์ จ่าเอกเสกสรร จันทร แกนนำเครือข่ายต่อต้านการทุจริต จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนกรณีการใช้งบประมาณจากหน่วยงานภาครัฐปรับปรุงภูมิทัศน์รอบภูเขาและบนเขาช่องกระจก บริเวณสวนสาธารณะหน้าศาลากลางจังหวัด ตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบันใช้งบกว่า 70 ล้านบาท แต่ไม่มีงบประมาณบำรุงรักษาและซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างให้อยู่ในสภาพใช้การได้ เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้มอบโครงการให้เทศบาลเมืองประจวบฯ ดูแลในระยะยาว ขณะที่หน่วยงานที่ใช้งบก่อสร้างโครงการไม่ได้ตั้งงบสำหรับบำรุงรักษา จ่าเอกเสกสรรค์ กล่าวว่า ล่าสุดรองผู้ว่าราชการจังหวัดได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยมีตัวแทนสำนักงานจังหวัด เทศบาลเมืองฯ และสำนักงานโยธาธิการ หารือเพื่อหาแนวทางแก้ไข แต่ไม่มีข้อยุติในระยะสั้น เพื่อจัดหางบประมาณปรับปรุงน้ำตกลิงกระโจน น้ำพุวาฬบลูด้าขนาดใหญ่หน้าศาลากลาง รวมทั้งการเปิดใช้อาคารขายอาหารลิงหน้าวัดธรรมิการามที่ถูกปล่อยร้าง ขณะที่การติดตั้งเสาไฟไฮแมส โคมไฟรูปสับปะรด ไม่สามารถใช้การได้ ส่วนพื้นที่ในสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีการบำรุงรักษา “ จากการตรวจสอบภายหลังการหารือ พบว่าสำนักงานโยธาธิการจังหวัดนำเอกสารที่มีการลงนามของอดีตนายกเทศมนตรีรายหนึ่ง อ้างว่ารับมอบโครงการบางส่วนจากผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วเมื่อปี 2557 แต่เจ้าหน้าที่เทศบาลยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นไปตามขั้นตอนของทางราชการ เนื่องจากผู้ลงนามได้พ้นจากหน้าที่จากมาตรา 44 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 และมีรองนายกเทศมนตรีเสนอญัตติเข้าที่ประชุมสภาในภายหลังเมื่อเดือนกันยายน 2558 ขณะที่ก่อนทำโครงการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้นำโครงการทั้งหมดผ่านสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ“ จ่าเอกเสกสรร กล่าว จ่าเอกเสกสรร กล่าวว่า หากปัจจุบันสำนักงานโยธาธิการจังหวัดหรือสำนักงานจังหวัดเชื่อว่าพื้นที่ก่อสร้างอยู่ในความดูแลของเทศบาล จะมีปัญหาจากการใช้งบทุกโครงการ เนื่องจากขณะนี้สำนักงานกฤษฎีกา ได้วินิจฉัยว่าพื้นที่บนเขาช่องกระจกเป็นของวัดธรรมิการาม ส่วนพื้นที่บริเวณรอบภูเขายังไม่ชี้ชัดว่ามีหน่วยงานใดรับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้มีปัญหาในทางปฏิบัติหากมีถ่ายโอนภารกิจให้เทศบาลรับผิดชอบ ดังนั้นผู้บริหารระดับจังหวัดควรให้ความสนใจตรวจสอบกระบวนการใช้งบ เพื่อหาข้อบกพร่องไม่ให้มีความเสียหายเกิดขึ้นอีกและควรเตรียมข้อมูลสำหรับชี้แจง ป.ป.ช. ////