ห่างหายจากหน้าข่าวก่อการร้ายเขย่าโลกมานานหลายเพลา กอปรกับหล่าหัวหน้าแกนนำถูกเด็ดหัว ปลิดชีพ ไปก็หลายคน จนคิดว่าขบวนการก่อการร้ายขบวนการนี้ถูกบดขยี้จนสิ้นซากไปแล้วหรืออย่างไร? ท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังลุกลามไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ณ เวลานี้ กลบข่าวอื่นๆ ไปแทบจะหมดสิ้น
สำหรับ กลุ่ม “รัฐอิสลาม” หรือ “ไอเอส” หรือที่หลายคนเรียกว่า “ไอซิส” ขบวนการก่อการร้ายที่เคยปฏิบัติการวินาศกรรมสะท้านขวัญประชาคมโลกอยู่เป็นระยะๆ เมื่อช่วงก่อนหน้า แต่ได้หายหน้า หายตาไป ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น
อย่างไรก็ดี บรรดาผู้สันทัดกรณีด้านความมั่นคงและก่อการร้ายระหว่างประเทศ ต่างออกมาแสดงทรรศนะว่า อย่าเพิ่งวางใจไปในสถานการณ์การก่อการร้ายจากน้ำมือของเหล่าพลพรรคไอซิส เพราะเหล่าวายร้ายขบวนการนี้ พร้อมฟื้นคืนชีวีหวนกลับมามีปฏิบัติการช็อกโลกได้อีกคำรบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่โลกเรากำลังสาละวนรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ ก็ปรากฏว่า กลายเป็นสบช่องเปิดโอกาส ให้แก่เหล่าไอซิสได้ฟื้นขบวนการก่อการร้ายขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีปรากฏการณ์เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ที่ขบวนการไอซิส เคยแผลงฤทธิ์ และทรงอิทธพลอยู่แต่เก่าก่อน
เริ่มจากที่ “ซีเรีย” ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกไอเอส สถาปนาเป็นศูนย์กลาง หรือเป็นเมืองหลวงของพวกเขา เมื่อช่วงเดือน มิ.ย. 2014 (พ.ศ. 2557) ภายใต้การนำของ “นายอาบู บักร์ อัล-บักห์ดาดี” ผู้ถูกหน่วยรบพิเศษ “เดลตาฟอร์ซ” ของกองทัพสหรัฐฯ สังหารไปเมื่อช่วงเดือน ต.ค. 2019 (พ.ศ. 2562)
นั่นคือ “เมืองรักกา” ทางภาคตะวันออกของประเทศซีเรีย ซึ่งได้กลายเป็นที่มั่นในปฏิบัติการเขย่าขวัญโลก นอกเหนือจากสั่นคลอนเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลประธานาะบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ในกรุงดามัสกัสแล้ว
ก่อนที่นครแห่งนี้ถูกไอเอสใช้เป็นฐานที่มั่นขยายขบวนการลงมายังทางตอนเหนือของ “อิรัก” ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางอีกเช่นกัน ที่กลายเป็นแหล่งชุมนุมใหญ่ของขบวนการไอซิสอีกแห่งหนึ่ง โดยมี “เมืองโมซุล” กลายเป็นฐานที่มั่นใหญ่ที่สุดของพวกเขาในอิรัก ทั้งในปฏิบัติการก่อการร้ายยังประเทศต่างๆ รวมถึงกรุงแบกแดด รัฐบาลกลางของอิรัก
ขบวนการไอซิส ยังแผลงฤทธิ์ข้ามภูมิภาคไปยัง “มีนา” คือ “ภูมิภาคตะวันออกกลางคาบเกี่ยวกับทางตอนเหนือของแอฟริกา” อีกด้วย เมื่ออดีตผู้นำเผด็จการของลิเบียอย่าง “พ.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี” ถูกโค่นอำนาจ จนเกิดเป็น “สุญญากาศทางการเมือง” เปิดโอกาสให้ขบวนการไอเอสเข้าไปชิงพื้นที่อิทธิพลในประเทศลิเบียแห่งนั้นด้วย
ใช่แต่เท่านั้น ขบวนการไอเอส ยังรุกพื้นที่ไปทางตะวันออก ด้วยการบุกปักธงถึงในดินแดน “อัฟกานิสถาน” ประเทศในภูมิภาคเอเชียกลางคาบเกี่ยวกับเอเชียใต้ ซึ่งมีขบวนการก่อการร้ายเจ้าถิ่น ครองอิทธิพลไว้อยู่ นั่นคือ “กลุ่มตาลีบัน”
โดยหลังจากถูกกองทัพนานาชาติบดขยี้จนสูญเสียทั้งผู้นำและดินแดนที่เคยครอบครอง ทรงอิทธิพล ก็ปรากฏว่า ขบวนการวายร้ายนี้ได้ส่งสัญญาณว่า หวนฟื้นคืนชีพขึ้นมาเขย่าขวัญโลกกันอีกครั้งแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นที่ “ซีเรีย” ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ นายหนึ่ง ได้ออกมาส่งซิกสะกิดเตือนกันว่า ขบวนการไอเอสได้ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิดฯ จากการที่พวกเขาไปปักหลักในพื้นที่ชุมชนเมืองเก่า ที่เคยเป็นที่อยู่ของประชาชนชาวซีเรียมาก่อน ซึ่งได้อพยพย้ายถิ่นฐานออกไป รวมค่ายผู้อพยพลี้ภัยต่างๆ ถูกนำไปใช้เป็นฐานที่มั่นของขบวนการอีกครั้ง เช่น ที่เมืองอัล-ฮาซากาห์ เมืองเดเรซซูร์ เป็นต้น
ส่วนที่ “อิรัก” ปรากฏว่า ทางกองกำลังเปชเมอร์กา ซึ่งถือเป็นกองทัพของชนกลุ่มน้อยชาวเคิรด์ ที่เคยร่วมกับกองทัพนานาชาติในการกวาดล้างกลุ่มไอเอสในอิรัก ได้ออกมาเตือนเช่นกันว่า อิทธิพลของไอซิสในอิรัก ได้หวนกลับมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่พวกเขาถูกปราบปรามไป เช่น ที่เมืองเคอร์คุก เป็นต้น ถึงขนาดที่ล่าสุดสามารถออกปฏิบัติการก่อวินาศกรรมผ่านเหตุระเบิดฆ่าตัวตายครั้งใหญ่ถึงในกรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ที่ “อัฟกานิสถาน” ทาง “หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ” และ “กองทัพสหรัฐฯในอัฟกานิสถาน” ก็ออกมาประสานเสียงเตือนว่า อิทธิพลของขบวนการไอซิสในอัฟกาฯ นับวันจะทวีเพิ่มสูงขึ้นยิ่งกัน จนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของกลุ่มตาลีบัน
ทั้งนี้ การฟื้นคืนชีพของขบวนการก่อการ้ายไอซิสข้างต้น ส่งผลให้ฝ่ายความมั่นคงประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าชาติตะวันตกต้องเฝ้าจับตาจ้องมองความเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง หลังจากได้รับบทเรียนด้านก่อการร้ายจนบังเกิดความสูญเสียเมื่อช่วงก่อนหน้า