“แม็คกรุ๊ป”โชว์ผลงานงวดครึ่งแรกปีบัญชี 2564 แกร่งสวนกระแสพิษ COVID-19 กำไรสุทธิพุ่ง 15% แตะ 335 ล้านบาท กวาดรายได้จากการขายเกือบ 2,000 ล้านบาท หลังเดินเกมรุกช่องทางขายออนไลน์เต็มสูบ อัดแคมเปญ-โปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายออฟไลน์ พร้อมคุมเข้มต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่อเนื่องกด SG&A ลดลงเหลือ 39.2%
นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “MC” เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปีบัญชี 2564 (1 ก.ค.-31 ธ.ค.63)ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 335 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 15% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการเติบโตของรายได้ และความสามารถในการควบคุมรายจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยบริษัทมีรายได้จากการขาย จำนวน 1,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% ตามรายได้จากช่องทางการขายร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) ที่เติบโตเกือบ 50% แตะ 224 ล้านบาท รวมถึงสามารถรักษาฐานการขายของช่องทางออฟไลน์ไว้ได้ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการจัดแคมเปญและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับสูง ส่งผลให้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)งวดครึ่งแรกปีบัญชี 2564 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 60.6% ขยับเพิ่มขึ้นจาก 58.3% ในช่วงเดียวกันปีก่อน และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เพิ่มขึ้นจาก 15.4% ในช่วงเดียวกันปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 17.5% จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ปรับลดลงจาก 40.1% ในช่วงเดียวกันปีก่อน เหลือ 39.2%
“ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมค้าปลีกยังคงเปราะบางและต้องเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด จากการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ระลอกใหม่นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมาได้ฉุดรั้งกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่ง COVID-19 เป็นปัจจัยเร่งรัดให้เราปรับ Supply chain ทั้งระบบอย่างรวดเร็ว ปรับ Business model อย่างฉับพลัน หันมาโฟกัสออนไลน์มากขึ้น พร้อมกับจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านหน้าร้านออฟไลน์ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าปี 2021 ยอดขายออนไลน์จะมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 15% ของยอดขายรวม”
ทั้งนี้ล่าสุด ณ 30 ธ.ค.63 บริษัทยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น จำนวน 1,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเดินหน้าบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) ให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง