“FPT” ผู้นำบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายแรกของประเทศไทย ประกาศบรรลุเป้าหมายรายได้สำหรับปี 63 รายได้รวม 20,016 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานรอบ 12 เดือน (ม.ค.-ธ.ค.63) พร้อมเดินหน้าธุรกิจตามกลยุทธ์ ‘One Platform’ ที่ได้รวมทรัพยากรองค์กร ความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ จากทั้งกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมเข้าไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากนั้นยังทำให้องค์กรมีความแข็งแกร่งพร้อมรับมือกับความท้าทายในรูปแบบต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือFPT เปิดเผยว่า การผนึกรวมทุกกลุ่มธุรกิจเข้าไว้ด้วยกันตามกลยุทธ์ One Platform ได้เกิดขึ้นในจังหวะที่ถูกต้องและเหมาะสม ด้วยพอร์ตโฟลิโออสังหาฯครบวงจรที่ครอบคลุมอสังหาฯ ทั้ง3ประเภท ทำให้ FPT สามารถกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี และมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยการมีรายได้จากหลายทาง ช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯมีความพร้อมที่จะรับมือกับความความท้าทายและความไม่แน่นอนทางธุรกิจ พร้อมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างจุดแข็งให้ FPT มีความโดดเด่นและแตกต่างจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นในประเทศ เรามั่นใจว่า ด้วยศักยภาพของพอร์ตโฟลิโอ ประกอบกับความสามารถในการบริหารจัดการขององค์กร รวมถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เดินหน้าสร้างความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องในปี 2564 โดยในภาพรวมของปี 2563 ท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 FPT ยังคงสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถรักษาระดับรายได้รวมในรอบ 12 เดือน (ม.ค.-ธ.ค.63) ในอัตราคงที่จำนวน 20,016 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 2,978 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 12.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สืบเนื่องจากการมีพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมกลุ่มสินทรัพย์หลายประเภท ทำให้สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง และการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ จึงสามารถลดต้นทุนลงจำนวน 218 ล้านบาทในไตรมาสล่าสุด ส่งผลให้ในปี 2563 บริษัทสามารถประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินปันผลปีก่อนหน้าที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 0.46 บาท สำหรับกลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม” มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ธ.ค.63) อยู่ที่ 14,112 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) สูงขึ้นที่ร้อยละ 4 และสภาพตลาดอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัยมีดีมานด์ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 30 ทั้งนี้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม มียอดพรีเซลล์โครงการมูลค่ารวม 31,400 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมของตลาดอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ผ่านมายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ว่าจะอยู่ระหว่างสถานการณ์โควิด-19 ปัจจุบัน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม นับเป็นผู้นำอันดับ Top 5 ของประเทศสำหรับกลุ่มธุรกิจเพื่อที่อยู่อาศัย มีโครงการที่พักอาศัยคุณภาพสูงรวม 60 โครงการในหลายทำเล พร้อมยังคงสร้างความคืบหน้าสำหรับโครงการใหม่อีก 6 แห่ง โดยเมื่อเสร็จสิ้น ทางกลุ่มฯจะมีโครงการพักอาศัยคุณภาพสูงในหลายทำเล รวมทั้งสิ้น 66 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 82,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล” บันทึกรายได้ประจำจากค่าเช่าพื้นที่จำนวน 1,755 ล้านบาทในรอบ 12 เดือน (ม.ค.-ธ.ค.63) โดยในไตรมาสสุดท้าย มีรายการขายสินทรัพย์มูลค่ากว่า 2,343 ล้านบาทให้แก่กองทรัสต์ FTREIT ในภาพรวม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล ยังคงได้รับอานิสงค์ต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่สนับสนุนให้ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน ที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องด้วยผู้บริโภคหันมาจับจ่ายผ่านช่องทางออนไลน์สูงขึ้นจากข้อจำกัดด้านการเดินทาง ส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่สูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 83 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 นอกจากนี้ ทางกลุ่มฯยังเห็นสัญญาณตอบรับที่ดีจากผู้ผลิตของแบรนด์ชั้นนำระดับสากลที่ต้องการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเดินหน้าทำสัญญาได้หลังจากสถาณการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ขณะที่กลุ่มธุรกิจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล รายได้รอบ 12 เดือน (ม.ค.-ธ.ค.63) จำนวน 874 ล้านบาท โดย ณ 31 ธ.ค.63 มีอัตราการเช่าโดยรวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่มากกว่าร้อยละ 90 ทั้งนี้สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน เนื่องจากมีกลุ่มผู้เช่าหลักเป็นบริษัทชั้นนำระดับสากลและบริษัทแถวหน้าของประเทศไทยที่มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง นอกจากนี้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล ยังคงเดินหน้าปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยยกระดับความปลอดภัยในศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ และอาคารสำนักงานทุกแห่งของกลุ่ม ด้วยการบังคับใช้มาตรการความปลอดภัยที่มีมาตรฐาน การใช้เทคโนโลยี Touchless เพื่อเลี่ยงการสัมผัส การรักษาระยะห่างอย่างเข้มงวด รวมถึงเพิ่มการสื่อสารกับผู้เกี่ยวข้องมากขึ้นเพื่อช่วยสร้างความตระหนักและย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัย