คืนผีเฮี้ยน! "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เปิดสนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันที่ 2 ก.พ.64 นัดนี้ "โอเล กุนนาร์ โซลชา" กุนซือผีแดง จัดทัพชุดใหญ่โดยกองหลังส่ง "แฮร์รี แม็คไกวร์" จับคู่กับ "วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ" คู่กลางพัก "พอล ป็อกบา" ส่ง "สก็อตต์ แม็กโทมิเนย์" ลงบู๊คู่กับ "เฟร็ด" ส่วนแนวรุกให้ "บรูโน แฟร์นันด์ส" นำทัพ และมีสามประสานอย่าง "เมสัน กรีนวู้ด-มาร์คัส แรชฟอร์ด-เอดินสัน คาวานี"ลงล่าตาข่าย ส่วนทางด้าน เซาแธมป์ตัน เจอปัญหานักเตะเจ็บยาวเป็นหางว่าวนำมาโดย "โอลิโอล โรเมว-ธีโอ วัลค็อตต์-ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส-แยนนิก เวสเตอร์การ์ด" โดยนัดนี้ส่ง "เจมส์ วอร์ด-พราวส์" คุมทัพแดนกลางร่วมกับ "อเล็กซานเดร ยานเควิทซ์" ส่วนความหวังในแดนหหน้ามี "แดนนี อิงส์" ประสานงานกับ "เช อดัมส์" เริ่มเกมการแข่งขันมาได้แค่ 2 นาที เซาธ์แฮมป์ตัน ต้องมาเหลือนักเตะน้อยกว่า เป็นจังหวะที่ แม็คโทมิเนย์ ตัดบอลได้แล้วโดนแยนเควิตซ์เข้ามายกเท้าสูงวางปุ่มใส่เต็มๆกลางสนาม ไม่ต้องคิดอะไรมากกรรมการแจกใบแดงไปอาบน้ำก่อนเพื่อน ถือว่าเป็นการประเดิมตัวจริงนัดแรกในพรีเมียร์ลีกแบบฝันร้ายสำหรับดาวรุ่งรายนี้ จากการที่ เซาธ์แฮมป์ตัน เหลือผู้เล่นในสนามแค่ 10 คน ทำให้ แมนฯยู ได้เปรียบพอสมควร และเจ้าถิ่นก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ ในนาทีที่ 17 ก็มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 โดยการวางบอลยาวจากแดนหลังของลินเดเลิฟ ไปให้กับ แรชฟอร์ด บริเวณสุดเส้นหลังทางซ้ายก่อนไหลย้อนกลับมาให้ ชอว์ วางเท้าเปิดบอลยาวไปทางเสาไกล วาน-บิสซาก้า วิ่งเข้าใส่ยิงระยะเผาขนบอลเข้าประตูไป จากนั้นสกอร์ก็ไหลเป็นน้ำ บรรดานักแตะแมนฯยูเรียกหน้ายิงกันกระจายสบายเท้า ชนิดที่เรียกว่ายิงเป็นเข้า โดยก่อนจบการแข่งขันในครึ่งเวลาแรก เจ้าถิ่นก็นำแบบชิวๆ 4-0 เริ่มเกมการแข่งขันในครึ่งเวลาหลัง ในนาทีที่ 53 เซาแธมป์ตัน มายิงตีไข่แตก 1-4 จากการเล่นฟรีคิกเร็วกลางสนาม อดัมส์หลุดไปในกรอบเขตโทษด้านขวาก่อนยิงติดบล็อคเฟร็ด แล้วตามมาซ้ำอีกทีบอลเข้าไปทางเสาไกล ทว่ากรรมการเช็ค VAR แล้วปรากฎว่าลากเส้นแขนเสื้อล้ำไปนิดเดียว หลังจากทีมเยือนไม่ได้ประตูตีไข่แตก ก็มาโดนเจ้าถิ่นยิงประตูเพิ่มเป็นลูกที่ 5 จากจังหวะที่ บรูโน่ หยอดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ มาร์กซิยาล โฉบตัดหน้า เบดนาเร็ค มาพักอกเอาบอลลงก่อนตะบันเต็มข้อบอลพุ่งเสียบตาข่ายเข้าประตูไป เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ ในนาทีที่ 71 แมนฯยู ยิงลูกที่ 6 เริ่มจากจังหวะที่ กรีนวู้ด ยิงไปติดเซฟของ แม็คคาร์ธี่ย์ แล้ว สตีเฟ่นส์สกัดออกมาไม่ขาด บอลมาเข้าทางของ แม็คโทมิเนย์ หวดตูมเดียวส่งบอลตุงตาข่ายอย่างแม่นยำ ท้ายเกม นักบุญ แย่หนักเสียจุดโทษและใบแดงเมื่อกรรมการไปเช็ก VAR และมองว่า ยาน เบดนาเร็ค ไปทำฟาวล์ มาร์กซิยาล นักบุญ จึงเหลือ 9 คน ก่อนเป็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส รับหน้าที่ยิงเข้าไปเป็น 7-0 ในนาทีที่ 87 และในนาทีที่ 90 แมนฯ ยู นำห่าง 8-0 จาก อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ทำประตูที่ 2 ของตัวเอง ก่อนที่ช่วงทดเจ็บจะมาได้เพิ่มอีกจากจังหวะที่ บรูโน่ โหม่งชงให้ แดเนยล เจมส์ ซัดจ่อๆ เข้าไป ทำให้ผีแดงชนะขาดลอย 9-0 พร้อมทำคะแนนขึ้นไปทาบ แมนฯ ซิตี้ ที่ 44 คะแนน เกมนี้ อารอน วาน-บิสซากา แบ็กขวาของแมนฯยู โดดเด่นมาในเรื่องของเกมรุก จนนำไปสู่ประตูแรกของทีม ซึ่งเป็นตัวเขาเองที่วิ่งขึ้นมาจบสกอร์สวยๆได้สำเร็จ ด้าน ลุค ชอว์ ก็ยังคงมีผลงานที่คงเส้นคงววา โดยเกมนี้มี 2 แอสซิสต์ อีกทั้ง มาร์กซิยาล ที่เป็นตัวสำรองลงเล่นและผลิตสกอร์ได้ถึง 2 ลูก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีฟอร์มการเล่นที่ซบเซามาก ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยังทำสถิติยิงไปแล้ว 83 ลูกให้กับต้นสังกัดรวมทุกรายการ แซงหน้า เอริค คันโตนา ดาวยิงระดับตำนานของสโมสร ที่เคยยิงให้ แมนฯยู ไป 82 ประตู ภาพรวมเกมนี้ สิ่งที่เห็นเด่นชัดมากที่สุดเห็นจะเป็นตัว โอเล กุนนาร์ โซลชา กุนซือผีแดง ที่ได้นำเอาจุดเด่นของนักแตะแต่ละคนมาผสมเข้ากับระบบของตัวเองได้ดีขึ้น และกล้าที่จะตัดสินใจเปลี่ยนเกมในแต่ละช่วงเวลาของการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งถ้าหากแมนฯยู ยังเล่นได้แบบนี้ เชื่อเหลือเกินว่าโอกาสลุ้นแชมป์ลีกอยู่ใกล้แค่เอื้อม...