เมื่อวันที่ 31 ม.ค. พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลที่จะเกิดขึ้นว่า ตนเชื่อว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้จะก่อให้รัฐบาลสืบทอดอำนาจวิตกจริต จนต้องใช้ปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ออกข่าวว่าประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการมีความเจริญที่เร็วกว่าประเทศประชาธิปไตย เพื่อช่วยกู้ภาพที่ตนเองมาจากการยึดอำนาจเป็นเผด็จการ แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับต่างบัญญัติเสมอว่าเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลสืบทอดอำนาจแทนที่จะนำพาประเทศสู่ความเป็นประชาธิปไตย กลับพาถอยหลังไปแย่ยิ่งกว่าระบอบเผด็จการ โดยพาถอยสุดกู่ไปยังยุคโบราณระบอบกินเมืองกันเลย นั่นคือประชาชนเป็นเพียงขี้ข้ารับใช้รัฐ พฤติการณ์บ่งชี้ชัดให้เห็นคือวันๆเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมัวแต่วิ่งไล่จับยัดข้อกล่าวหากับคนที่เห็นต่างกับรัฐบาล ไม่เว้นแม้แต่เด็กเยาวชนโดยไม่ได้คำนึงว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ต้องยึดถือสัตยาบันต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติซึ่งมีผลผูกพันต่อรัฐไทย ข้อกล่าวหาการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ว่า นายกฯคนนี้ไร้ภูมิปัญญา ไร้ภาวะผู้นำ ไร้สำนึกความรับผิดชอบนั้น จึงเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เกินเลย พล.ท.ภราดร กล่าวต่อว่า เปิดอภิปรายเมื่อใดประชาชนจะได้เห็นความจริงชัดตามข้อกล่าวหา แม้การลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านอาจจะพ่ายแพ้เพราะมีเสียงน้อยกว่า แต่อาฟเตอร์ช็อคหลังการอภิปรายจะส่งผลให้เกิดการรวมตัวอภิปรายนอกสภาของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆที่นำโดยคณะราษฎรตามมาอย่างมิหยุดยั้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝ่ายความมั่นคงและขบวนการยุติธรรมยังไม่ตระหนักถึงการปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบให้บรรยากาศของบ้านเมืองเป็นสภาพที่ประชาชนเชื่อว่าประเทศนี้มี ‘การปกครองที่เป็นธรรม‘ รับรองว่าการรวมตัวขับไล่รัฐบาลสืบทอดอำนาจของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆจะเกิดขึ้นตามมาเร็วเกินคาด จนรัฐบาลไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป