CPANEL กางแผนธุรกิจปี 64 ชูกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงขยายลูกค้าภาครัฐ-เอกชน เจาะกลุ่มอาคารและโรงงานเพิ่ม เล็งขยายตลาดอสังหาฯหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ พร้อมพัฒนา AI ลดต้นทุนการผลิต เสริมบริการหลังการขายตอบโจทย์ลูกค้า เชื่อแนวโน้มเติบโตแม้ภาพรวมอสังหาฯชะลอ ขณะที่ผู้ประกอบการ ผู้รับเหมาปรับตัว เน้นก่อสร้างเร็ว ลดสต็อค หนุนความต้องการ Precast โชว์ Backlog 360 ล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้เติบโตกว่า 40% นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (CPANEL) ผู้นำการผลิตและจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 แนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในภาวะอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว โดยบริษัทมีแผนเพิ่มปริมาณคำสั่งซื้อลูกค้าเดิม พร้อมกระจายความเสี่ยงขยายฐานลูกค้ารายใหม่ภาคเอกชน รวมถึงฐานลูกค้ากลุ่มภาครัฐ พร้อมแผนขยายตลาดผนังคอนกรีตสำเร็จรูปตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กว่า 10 ราย ที่มีคำสั่งซื้อต่อเนื่อง โดยมีงานที่อยู่ระหว่างดำเนินการอาทิ ไบรตัน,บริทาเนีย,โกลเด้น นีโอ,สัมมากร อเวนิว,โนเบิล เกเบิล,เลค ซีรีน, กานดา เรียลแอสเสท,ศุภาลัย เออร์บานา,ที.เอ็ม.ที.แลนด์,เอเบิ้ล แอสเสท,พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค และอื่นๆ ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาโครงการภาครัฐ ซึ่งเป็นงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน ที่พักบุคลากร ขณะที่ภาคเอกชนนอกจากงานโครงการแนวราบที่มีความต้องการต่อเนื่อง บริษัทยังมีโอกาสเข้ารับงานโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทต่างชาติมีแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตเข้ามาประเทศไทยมากขึ้นจากสงครามการค้า จีน อเมริกาที่เข้มข้นขึ้น ถือเป็นการขยายโอกาสการรับงานให้มีความหลากหลาย อีกทั้ง บริษัทอยู่ระหว่างยื่นเสนองานอีกหลายโครงการ โดยปี 2564 สัดส่วนรายได้งานภาครัฐจะเพิ่มขึ้นที่ 10-15% จากเดิมที่มีเพียงไม่ถึง 1% นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบประมวลผล มีการวิเคราะห์เชิงลึก มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความรวดเร็ว ลดต้นทุน และลดความผิดพลาดหรือความสูญเสียในการผลิต เพื่อผลิตชิ้นงานได้มีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งบริการหลังการขาย การบริหารการขนส่ง สร้างมูลค่าเพิ่มตอบสนองความต้องการให้แก่ลูกค้า สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังคงชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการและผู้รับเหมาปรับกลยุทธ์ลดต้นทุนการก่อสร้าง ลดจำนวนแรงงาน บริหารความเสี่ยง ลดเวลาการก่อสร้างเพื่อลดสต็อคและใช้วัสดุที่ทำให้การก่อสร้างเสร็จเร็วมากขึ้น ส่งผลให้ Precast เป็นเทคโนโลยีก่อสร้างที่ตอบสนองในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าสัดส่วนงานก่อสร้างที่จะถูกแทนที่เป็น Precast ในกลุ่มอาคารที่พักอาศัยแนวราบของเอกชนน่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3% จากยอดใช้ทั้งหมดจนถึงปี 2568 เป็นผลมาจากแรงงานก่อสร้างที่หาได้ยากขึ้นและมีค่าแรงที่สูงขึ้นเป็นหลัก ถือเป็นโอกาสของบริษัทที่จะมีแนวโน้มการรับงานสูงขึ้นในอนาคต “ธุรกิจผนังคอนกรีตสำเร็จรูปสามารถเติบโตได้ เนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ เป็นผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการเติบโตจึงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทเจาะกลุ่มอาคารสำนักงาน และโรงงานเพิ่ม ประกอบกับในปี 2563 บริษัทมีการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี และปรับปรุงการผลิตตลอดเวลา ส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากเทรนด์การใช้งาน Precast ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น บริษัทจึงมีแผนระดมทุนก่อสร้างโรงงานผลิต Precast โรงที่ 2 เพื่อรองรับความต้องการใช้งานในอนาคต” อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) 360 ล้านบาท ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตผนังคอนกรีตสำเร็จรูปของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 60-70% โดยบริษัทตั้งเป้าอัตราเติบโตของยอดขายปีนี้อยู่ที 40%