ฮือบุกสภาคองเกรส! กลุ่มผู้ประท้วงขวาจัดที่สนับสนุน"โดนัลด์ ทรัมป์" จำนวนหลายร้อยคน บุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ขวางรับรองผล"โจ ไบเดน" ชนะเลือกตั้ง นั่งเก้าอี้ ปธน.สหรัฐ สลด! พบผู้เสียชีวิต 4 ราย เหตุจลาจล ขณะที่กลุ่มตัวแทนธุรกิจนับหมื่นแห่งจี้ปลด"ทรัมป์"พ้น"ทำเนียบขาว" เมื่อวันที่ 7 ม.ค.64 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า กลุ่มผู้สนับสนุน นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพวกขวาจัด จำนวนหลายร้อยคน พากันบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา หรือสภาคองเกรส ย่านแคปิตอลฮิลล์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ เมื่อช่วงเย็นของวันพุธที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลาช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีนี้ ตามวันเวลาในไทย เพื่อประท้วงและพยายามกดดันให้เหล่าสมาชิกรัฐสภา เปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พ.ย.63 ที่ปรากฏว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มผู้ประท้วงได้ทำลายประตู หน้าต่าง และทุบกระจก ก่อนบุกเข้าไปภายในอาคารสภาคองเกรส ซึ่งบรรดาสมาชิกสภาคองเกรส ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา กำลังที่จะประชุมร่วมเพื่อรับรองชัยชนะของ นายไบเดน ส่งผลการประชุมข้างต้นต้องเลื่อนออกไป โดยมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องช่วยกันพาสมาชิกสภาคองเกรสออกจากอาคารรัฐสภา ก่อนที่จะดำเนินการเคลียร์พื้นที่ด้วยการให้กลุ่มผู้ประท้วงออกจากอาคารรัฐสภา และห้องโถงต่างๆ ซึ่งใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง กว่าจะเคลียร์พื้นที่ได้สำเร็จ ท่ามกลางสถานการณ์โกลาหล และเกิดการปะทะกันขึ้น รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากการเคลียร์พื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้พบร่างของสตรีรายหนึ่ง ถูกอาวุธปืนไม่ทราบฝ่ายยิงเสียชีวิต ในระหว่างที่เกิดการชุลมุนวุ่นวายขึ้น และอีก 3 คนเสียชีวิตด้วยเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ เปิดเผยว่า ได้พบวัตถุต้องสงสัยว่าเป็นระเบิดจำนวน 2 ลูก ในอาคารรัฐสภา แต่ได้ปลดชนวนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ ตำรวจวอชิงตัน ดี.ซี. เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตรายแรกเป็นผู้หญิง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิง เนื่องจากอยู่ในกลุ่มผู้ที่พยายามบุกรุกเข้าไปในห้องประชุม เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอาวุธ พวกเขาปฏิเสธที่จะล่าถอยกลับไปตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่จึงถูกยิง ส่วนผู้เสียชีวิตอีก 3 ราย แบ่งเป็นหญิง 1 ราย และชาย 2 ราย ตำรวจ ระบุว่า เสียชีวิตเนื่องจาก “เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์” โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอื่น สื่อสหรัฐฯ รายงานว่าผู้เสียชีวิตรายแรกจากการบุกรุกอาคารรัฐสภาคือ นางแอชลี แบบบิตต์ ซึ่งอาศัยอยู่ในซานดิเอโก และเป็นทหารผ่านศึกของกองทัพอากาศสหรัฐฯซึ่งแม่สามีของเธอให้สัมภาษณ์กับ Fox5 ว่านางแบบบิตต์ เป็นผู้สนับสนุนนายทรัมป์ นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 14 นาย โดยมีอยู่ 2 นาย ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยคนหนึ่งมีอาการบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากถูกลากเข้าไปในฝูงชนและอีกคนถูกกระสุนปืนเข้าที่ใบหน้า ทางด้าน นายกเทศมนตรีวอชิงตัน ดี.ซี. เปิดเผยว่า มีผู้ถูกจับกุมแล้ว 52 คน โดยในกลุ่มนี้ 47 คน ถูกจับกุมจากการละเมิดเคอร์ฟิว อีก 4 คนถูกจับกุมฐานพกปืนโดยไม่มีใบอนุญาต นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบระเบิดแสวงเครื่องแบบไปป์บอมบ์ 2 ลูก โดยพบลูกหนึ่งที่สำนักงานคณะกรรมาธิการพรรคเดโมแครต อีกลูกหนึ่งพบที่สำนักงานคณะกรรมาธิการพรรครีพับลิกัน นอกจากนี้ สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า บรรดาผู้นำกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทจำนวนกว่า 14,000 แห่ง ในประเทศ อันรวมถึงเอ็กซอนโมบิล และไฟเซอร์ ตลอดจนโตโยตามอเตอร์ เป็นต้น เรียกร้องให้มีการดำเนินการพิจารณาปลดนายโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากเขาสนับสนุนให้เกิดการชุมนุมประท้วง จนบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา หรือสภาคองเกรส เพื่อกดดันการประชุมรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ปรากฏว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคเดโมแครต ได้รับชัยชนะ โดย นายเจย์ ทิมมอนส์ ประธานสมาคมผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมแห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า นายทรัมป์ได้ยุยงกลุ่มผู้ชุมนุมจนนำไปสู่ความรุนแรง อันเป็นความพยายามที่จะทำให้เขาได้อยู่ในอำนาจต่อไป พร้อมกันนี้ นายทิมมอนส์ ยังระบุด้วยว่า การกระทำดังกล่าวของนายทรัมป์ ยังถือเป็นการละเมิดต่อคำสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง เป็นการกระทำที่ผิดต่อรัฐธรรมนูญ และนับเป็นการไม่ยอมรับต่อกระบวนการประชาธิปไตยด้วย ที่ไปให้การสนับสนุนต่อการเป็นอนาธิปไตยให้เกิดขึ้นในประเทศ นอกจากนี้ ประธานสมาคมผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมแห่งสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมกับคณะรัฐมนตรี พิจารณาปลดนายทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยการใช้บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25 เข้ามาจัดการ เพื่อธำรงระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ในสหรัฐฯ