เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทยพร้อมทนายความเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. พร้อมนำเอกสารสำนวนทะเบียนบ้านเบอร์โทรศัพท์จำนวน 4 สำนวน นายวัฒนา กล่าวว่า ตนได้ยินกระแสข่าวพนักงานสอบสวน บก.ปอท. จะไปขอให้ศาลอาญาออกหมายจับผมอีก เนื่องจากมีผู้ไปแจ้งความเพิ่มเติมว่าข้อความที่ตนโพสต์ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว มีลักษณะเป็นการยุยงทำให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง อันเป็นความผิดตามมาตรา 14 ของกฎหมายคอมพิวเตอร์นั้น ตนจึงเดินทางมาเพื่อสอบถามว่าตนถูกแจ้งข้อหาอะไร และประเด็นที่สองคือตนได้ถ่ายสำนวนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตนจำนวน 4 สำนวน โดยให้พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย ผบก.ปอท. และพ.ต.อ.โอราฬ สุขเกษม ผกก.3 บก.ปอท พร้อมทั้งจะลงบันทึกประจำวันไว้ว่าตนได้นำเอกสารดังกล่าวมามอบให้แล้ว หากบุคคลใดต้องการจะแจ้งความดำเนินคดีกับตรให้ออกหมายเรียกหรือโทรประสานมายังตนได้ ไม่ใช่ไปออกหมายจับ หากพบว่ามีการออกหมายจับก่อนตนจะดำเนินคดีกับตำรวจที่ออกหมายจับตน ขณะนี้ตนมองว่าทาง คสช. ใช้กฎหมายในการกลั่นแกล้งคน โดยเริ่มจากตนเอง ต่อมาก็ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยทั้งหมดใช้กฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาใช้ในการปิดปากแสดงความคิดเห็น ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เห็นว่า คสช. กลัวไปทุกเรื่องหากให้เปรียบเทียบก็เหมือนมะเร็งระยะสุดท้าย หรือ คนใกล้หมดอำนาจ ที่ต้องใช้กฎหมายในการกลั่นแกล้งซึ่งทำให้ประเทศเสียหายอย่างยิ่ง นายวัฒนา กล่าวต่อว่า อยากฝากไปยังตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ทำงานให้กับคณะเผด็จการว่า หากต้องการแจ้งความกับตนให้มาแจ้งด้วยตนเองไม่ต้องใช้เด็กหรือตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นเครื่องมือ อย่างไรก็ตามข้อกฎหมายเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น ได้ถูกคัดค้านมาตั้งแต่ตนมีการล่ารายชื่อผู้ไม่เห็นด้วยในข้อกฎหมายดังกล่าว วันนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าข้อกฎหมายดังกล่าวนั้นสร้างขึ้นเพื่อกลั่นแกล้ง สำหรับในวันที่ 25 สิงหาคมนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของศาลในการดำเนินการ คสช. ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง