เมื่อเวลา 10.00 น วันที่ 4 สิงหาคม 2560 ที่ศูนย์บริการร่วม กระทรวงยุติธรรม นายวรณะ สติประเสริฐ พร้อมด้วย นายโอภาส เฉิดพันธุ์ และกลุ่มตัวแทนผู้เสียหายซื้อรถยนต์หรู จาก บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ผ่อนคลายการอายัดรถ หลังมีความเดือดร้อนจำนวนมาก นายโอภาส เปิดเผยว่า ตนซื้อรถลัมโบล์กินี่ อเวนทาดอร์ จากกลุ่มบริษัท นิชคาร์ ที่เป็นตัวแทนจำกน่ายรถหรู และผ่อนจ่ายมาประมาณ 4-5 ปี มูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท แต่กำลังจะถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไออายัด โดยปกติตนจะเป็นคนชอบเล่นรถ และซื้อมาขายไปหากผ่อนชำระหมด ซึ่งอยากร้องเรียนให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องช่วยเร่งสรุปว่าความเป็นมาอย่างไรเพราะหากปล่อยเรื่องค้างไว้นานจะสร้างความเสียหายเพราะไม่สามารถนำไปใช้และขายต่อได้ นายโอภาส เผยอีกว่า จากการสอบถามกลุ่มบริษัท นิชคาร์ บอกว่าต้องรอ ดีเอสไอ สรุปเรื่องก่อนจึงดำเนินการได้ ส่วนการให้บริษัทผู้นำเข้าถูกปรับ 4 เท่าเพื่อชำระภาษีที่ขาดตนยังไม่ได้พูดคุยกัน ซึ่งบริษัทดังกล่าวเปิดบริการมากว่า 30 ปี ทำให้มีความน่าเชื่อถือของผู้บริโภค ตัวแทนผู้เสียหายรายหนึ่ง กล่าวว่า การเดินทางมาวันนี้เพื่อให้ปลดรถที่ถูกอายัดเพราะผู้บริโภคซื้อรถยนต์ในราคาเต็มจำนวนด้วยความบริสุทธิ์ใจและซื้อรถจากโชว์รูมตัวแทนจำหน่ายหลายยี่ห้อ ไม่ได้ซื้อรถจดประกอบหรือนำเข้าผิดกฎหมายแต่หลายคนต้องมาโดนอายัดทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อาทิ บางคนมีปัญหาการเงินก็ไม่สามารถจำหน่ายได้ บางคนก็ต่อทะเบียนไม่ได้ ซึ่งรถได้รับการประเมินจากกรมศุลกากรและไปจดทะเบียนกับขนส่งทางบก แต่ระหว่างคดีไม่สิ้นสุดได้รับผลกระทบ "ส่วนบริษัทดังกล่าวนำเข้ารถเลี่ยงภาษี ตนไม่ทราบเพราะบริษัทมีความน่าเชื่อถือเเละเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงผู้เดียว จึงอยากให้มีความชัดเจนเนื่องจากผู้บริโภคซื้อรถยนต์จากโชว์รูมอย่างเปิดเผย ขณะนี้ ดีเอสไอ ทยอยเรียกแล้วกว่า 80 คัน อย่างไรก็ตาม ทางกฎหมายใครผิดก็ต้องว่ากันไป" ด้าน นายธวัชชัย เปิดเผยว่า รถยนต์ที่ถูก ดีเอสไอ ยึดและอายัดมีหลายคดี เช่น รถนำเข้า รถจดประกอบ ฯลฯ โดยผู้ซื้อถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และร้องเรียนให้ปล่อยรถ หากมีความเสียหายก็พร้อมรับผิดชอบแต่ต้องดูข้อกฎหมายเพราะรถยนต์ถือได้ว่าเป็นวัตถุพยานในคดี รวมทั้ง ทราบว่า ดีเอสไอ ประสานอัยการสูงสุดเพื่อขอข้อมูลรถ คาดว่าภายใน ส.ค.นี้จะแจ้งข้อกล่าวหาอีก 30 คดี แต่ต้องรอการประเมินราคาจาก กรมศุลกากร อย่างไรก็ตาม จะต้องคุยรายละเอียดกับ กระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ และ กรมศุลกากร เพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด