แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกแถลงการณ์ถึงทางการไทยเรียกร้องให้ยกเลิกการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมโดยสงบและผู้ที่สนับสนุนการชุมนุมทั่วประเทศ จากการรวบรวมข้อมูลพบว่ามีถึง 220 คน ที่ถูกดำเนินคดีซึ่งในนั้นมีเยาวชนร่วมอยู่ด้วย จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยประกันว่า จะปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในแง่ของการเคารพสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ และไม่ควรมีใครถูกคุกคามหรือถูกตอบโต้เพียงเพราะการเข้าร่วมหรือแสดงความเห็นด้วยกับการชุมนุมโดยสงบ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลแถลงว่า สองเดือนหลังจากทางการไทยยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง เพื่อควบคุมการชุมนุมโดยสงบ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังคงกังวลอย่างยิ่งว่า ทางการไทยยังคงเร่งและเพิ่มการปราบปรามผู้ชุมนุมและผู้ที่สนับสนุนการชุมนุมทั่วประเทศ โดยหลังนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชาประกาศเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่จะ “ใช้กฎหมายทุกฉบับทุกมาตรา” เพื่อจัดการกับผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ได้เริ่มดำเนินคดีจำนวนมากต่อแกนนำผู้ชุมนุม นักดนตรี และนักกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมโดยสงบ จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า มีบุคคลจำนวนประมาณ 220 คน ซึ่งรวมถึงเด็กถูกดำเนินคดี อย่างน้อย 149 คนในจำนวนบุคคลถูกดำเนินคดีข้อหาละเมิดข้อจำกัดในการชุมนุมสาธารณะภายใต้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และอย่างน้อย 53 คนถูกดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่นฯ ถึง ณ ตอนนี้บุคคลจำนวน 37 คนถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา) ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี การดำเนินคดีในครั้งนี้เป็นในการต่ออายุการใช้กฎหมายอันน่าตกใจ เจ้าหน้าที่ได้ทำการดำเนินคดีกับทนายความ และนักเคลื่อนไหวในจังหวัดอุบลราชธานีภายใต้กฎหมายยุยงปลุกปั่นฯ (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116) และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำปราศรัยของแกนนำผู้ประท้วงในปลายเดือนสิงหาคม 2563 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกังวลว่า การรับมือกับการชุมนุมอย่างต่อเนื่องของทางการ ไม่เพียงมีแนวโน้มจะนำไปสู่การควบคุมตัวโดยพลการและการจำคุกผู้ที่ศาลตัดสินว่ามีความผิด หากยังมีโทษจำคุกเป็นเวลานานและสร้างภาระในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาสำหรับบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายเพียงเพราะการใช้สิทธิของตน ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นเช่นไร ซึ่งไม่เพียงส่งผลในทางบทบัญญัติลงโทษต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ หากยังสร้างให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัว และคุกคามต่อการใช้สิทธิของประชาชนในสังคมโดยรวม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงเรียกร้องอีกครั้งให้รัฐบาลไทยประกันว่า จะปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในแง่ของการเคารพสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ และไม่ควรมีใครถูกคุกคามหรือถูกตอบโต้เพียงเพราะการเข้าร่วมหรือแสดงความเห็นด้วยกับการชุมนุมโดยสงบ รัฐบาลไทยต้องตระหนักว่าการชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิมนุษยชน และการใช้สิทธิดังกล่าวเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่การบรรลุซึ่งสิทธิอื่น ๆ มากมาย รวมทั้งสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติซึ่งเป็นหน่วยงานของผู้ชำนาญการที่ดูแลให้มีการปฏิบัติตามและเป็นผู้มีอำนาจตีความสิทธิตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ได้ระบุว่า รัฐมีหน้าที่งดเว้นจากการแทรกแซงต่อการชุมนุมโดยสงบ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องทางการให้ยกเลิกการดำเนินคดีทั้งปวงต่อชุมนุมโดยสงบและผู้ที่สนับสนุนการชุมนุมทั่วประเทศ ทางการไทยควรงดเว้นจากการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจำกัดการใช้สิทธิ นอกเหนือจากการจำกัดเท่าที่กระทำได้ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ