คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ /ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” มีพฤติกรรมประจำตัวแบบแปลกประหลาด จนผู้คนทั่วๆไปต่างรับรู้กันดีว่า เขาคือจอมบูลลี่ จอมขู่เข็ญ จอมสร้างดราม่าที่มักจะแสดงอาการโกรธเกรี้ยวฟาดงวงฟาดงาต่อทุกคนที่มีความเห็นต่างจากตน โดยช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมาแม้ว่าเขาจะประสบกับความพ่ายแพ้อย่างถล่มทลายเพราะคะแนนอิเล็กโทรัลของ “ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” นำหน้าไปถึง 306 ต่อ 232 คะแนน อีกทั้งคะแนนป๊อปปูลาร์ก็แพ้ไปกว่าหกล้านคะแนนก็ตาม แต่เขากลับไม่ยอมรับความจริงที่ว่า จะต้องออกมาประกาศยอมแพ้ตามประเพณีที่ปฏิบัติกันมากว่า 230 ปี แถมยังแถผลักดันให้คณะทนายความของตนยื่นฟ้องศาลในรัฐสวิง 6 รัฐด้วยกันคือ รัฐมิชิแกน เพนซิลเวเนีย วิสคอนซิน จอร์เจีย เนวาดา และ อริโซนา แม้แต่รัฐจอร์เจียซึ่งมีคะแนนอิเล็กโทรัล 16 คะแนน ก็ยังต้องมีการนับคะแนนซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงสามครั้งสามครา แต่ก็ยังปรากฏว่าไม่สามารถพลิกคว่ำคะแนนของคู่แข่งลงได้ โดยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ “ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ผู้ว่าฯของรัฐจอร์เจีย ซึ่งสังกัดพรรคเดียวกันกับประธานาธิบดีทรัมป์ได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ด้วยการประกาศรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือป็นรัฐแรกที่ออกมาประกาศรับรองชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน!!! และวันต่อมาผู้พิพากษาแห่งศาลรัฐบาลกลาง “แมทธิว แบรนน์” สังกัดพรรครีพับลิกัน ณ รัฐเพนซิลเวเนีย ออกมาปฏิเสธต่อข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการจะพลิกโผทำให้ตนเองเป็นฝ่ายชนะ ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วนั้นไบเดนมีคะแนนนำอยู่กว่า 20,000 คะแนน โดยท่านผู้พิพากษาแบรนน์ยังได้กล่าวตำหนิคณะทนายความของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างรุนแรงอีกด้วย ส่วนอดีตผู้ว่าฯคริส คริสตี้ สังกัดพรรครีพับลิกันแห่งรัฐนิวเจอร์ซี ซึ่งอดีตเมื่อสี่ปีก่อนผู้ว่าฯคริสตี้ท่านนี้เป็นคนแรกที่ออกมาประกาศสนับสนุนทำให้คะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์แซงขึ้นหน้าคู่แข่งขันอีก 17 คน จนได้กลายเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน และผู้ว่าฯท่านนี้ยังรับหน้าที่ที่ปรึกษาให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ตลอดมา แต่ขณะนี้ก็ปรากฏอีกเช่นเดียวกันว่า ผู้ว่าฯท่านนี้ก็เป็นคนแรกอีกนั่นแหละที่ออกความเห็นผ่านรายการโทรทัศน์ช่อง “ABC” ชูประเด็นว่า “วิธียื่นฟ้องของคณะทนายความประจำตัวของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นสิ่งที่น่าอับอายระดับชาติ และถึงเวลาแล้วที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเลิกเล่นเกม เพื่อมุ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติมาเป็นอันดับแรก” การที่หลายๆฝ่ายออกมากล่าวตำหนิการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น ปรากฏว่าเขาหาได้แคร์ไม่ยังคงให้คณะทนายความเดินหน้ายื่นฟ้องเพื่อคว่ำผลการเลือกตั้งที่รัฐมิชิแกน โดยเขาได้เชิญนักการเมืองสังกัดพรรครีพับลิกันของรัฐมิชิแกนสองคนเข้าพบที่ทำเนียบขาว เพื่อให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่เขาต้องการ แต่นักการเมืองสองคนนั้นต่างยืนกรานไม่ยอมที่จะปฏิบัติตาม และเมื่อวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายนนี้ รัฐมิชิแกนก็ได้ออกมาประกาศรับรองว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แล้วว่าเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ และเมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายนที่เพิ่งผ่านมานี้ ผู้ว่าฯรัฐเพนซิลเวเนียก็ได้ออกมาเซ็นรับรองอย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน โดยว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นฝ่ายชนะได้รับคะแนนเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ 80,555 คะแนน จากรายงานของสำนักข่าวเอพีล่าสุดนี้ได้รายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์สั่งให้คณะทนายความเดินเรื่องยื่นฟ้องร้องเพื่อคว่ำผลเลือกตั้งตามรัฐต่างๆถึง 36 คดี แต่กลับปรากฏว่า มิได้เป็นไปตามที่เขาคาดหวังเพราะเขาเป็นฝ่ายแพ้หรือจำเป็นต้องถอนฟ้องคดี เท่ากับว่าขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังจนมุมเข้าสู่ทางตัน!!! อย่างไรก็ตามในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ บรรดาแกนนำของพรรครีพับลิกันหลายๆคนทุกๆระดับต่างทยอยออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และขอร้องให้เขาโอนถ่ายอำนาจและขอร้องให้เขาใช้บริการต่างๆอาทิรายงานประจำวันของทุกหน่วยงาน โดยให้ผู้อำนวยการของสำนักบริหารงานทั่วไปของสหรัฐฯ (General Services Administration) เซ็นต์รับรอง เพื่อถ่ายโอนอำนาจให้กับว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายนนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการของสำนักบริหารงานทั่วไปของสหรัฐฯ เปิดทางให้กับว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้าไปจัดการการบริหารต่างๆได้ โดยประธานาธิบดีทรัมป์อธิบายว่าเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่เขาจะเดินหน้าเพื่อยื่นฟ้องต่อไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ โดยเขาอาจจะตั้งความหวังให้ผู้พิพากษาศาลสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด เพราะก่อนการเลือกตั้งเขาได้ผลักดันให้เอมี่ บาร์เร็ตต์ ได้รับการรับรองเข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนล่าสุด ทั้งนี้มีผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้งมาแล้ว 3 คน และยังมีผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่สังกัดค่ายอนุรักษ์อยู่ก่อนแล้วสามคน โดยหากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นเขาจะได้เปรียบ 6 ต่อ 3 เสียง ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์มักจะมีแผนซ้อนแผนอยู่ในใจเสมอมาโดยตลอดๆ จึงเป็นที่มาทำให้ผู้ที่ทำงานกับเขาต่างไม่มีความมั่นใจหรือไว้วางใจต่อเขา ดั่งจะเห็นจากพฤติกรรมที่มีอารมณ์แกว่งๆเอาแน่เอานอนไม่ได้จนมีการสั่งปลดสมุนรอบกายของเขาอยู่เป็นประจำ โดยเขามุ่งยึดเอาแต่ผลประโยชน์ตนเองเป็นที่ตั้ง ส่วนผลประโยชน์ของชาติมาอันดับรอง!!! และมีข่าวออกมาแล้วว่า ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ ว่าที่รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เลือกเฟ้นคัดสรรคณะรัฐมนตรีและได้ประกาศเปิดเผยคณะรัฐมนตรีตำแหน่งสำคัญๆบ้างแล้ว โดยโจ ไบเดนรักษาสัญญาที่ว่า คณะรัฐมนตรีของเขาจะต้องมาจากหลากหลายเชื้อชาติ เพื่อให้เป็นไปตามสังคมอเมริกันที่เป็น “melting pot” กอปรด้วยหลายชาติภาษา ดังเช่นไทยทาวน์ที่นครลอสแอนเจลิสมีผู้พำนักอาศัยอยู่มากมายหลากหลายเชื้อชาติภาษากว่า 70 ชุมชน อย่างไรก็ตามการฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรีของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังดำเนินไปอย่างรอบคอบ โดยทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่ระดับมืออาชีพทั้งสิ้น อาทิ “รอน เคลน” ผู้ทำงานใกล้ชิดกับว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มาแล้วอย่างยาวนานได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทำเนียบขาว (Chief of Staff) คุมบุคลากรในทำเนียบขาวกว่าห้าร้อยคน โดยถนนทุกสายที่จะผ่านเข้าทำเนียบขาวจะต้องผ่านด่านรอน เคลนเท่านั้น “แอนโทนี บริงเคน” ขุนพลมือขวาด้านการต่างประเทศของไบเดนมาแล้วนานกว่ายี่สิบปี เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯต่างประเทศ โดยมีอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศจอห์น แครี เข้ารับหน้าที่ทูตพิเศษเรื่องโลกร้อน “จาเน็ท เยลเลน” อดีตประธานเฟด อายุ 74 ปี โดยที่ผ่านมาเธอเป็นไอดอลให้แก่กลุ่มสตรีทางด้านเศรษฐศาสตร์ เข้าไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังและเธอจะเป็นสุภาพสตรีท่านแรกที่รับตำแหน่งนี้ “อาเลจันโดร เมโยคัส” นักกฎหมายมืออาชีพ อดีตผู้ลี้ภัยจากคิวบาผู้มากด้วยประสบการณ์ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน และประธานาธิบดีบารัก โอบามา เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งอาจจะเข้าไปขับเคลื่อนทางด้านอิมมิเกรชั่นให้เยาวชนกลุ่มดรีมเมอร์และโรบินฮูดที่อยู่อย่างผิดกฎหมายหลบๆซ่อนๆได้ลืมตาอ้าปากเสียที “เอฟริล เฮนส์” นักกฎหมายผิวสีผู้มีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและมีประสบการณ์มาแล้วหลากหลายหน่วยงาน จะเข้าไปอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการด้านความมั่นคงปลอดภัย โดยมี “ลินดา กรีนฟีลด์” สุภาพสตรีผิวสีผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำองค์การสหประชาชาติ “วุฒิสมาชิกลัดดา ดัคเวิร์ธ” ขวัญใจพี่น้องชาวไทยอาจจะได้รับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าในวงธุรกิจให้ความไว้วางใจว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนสูงโดยเมื่อวันอังคารนี้ดัชนีดาวโจนส์ได้พุ่ง 454.97 จุดโดยทะลุ 30,000 จุด กล่าวโดยสรุปจะเห็นได้ว่าขณะนี้ ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานด้านการฟอร์มคณะรัฐมนตรี 15 กระทรวง โดยมุ่งเน้นเลือกสรรมืออาชีพที่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่การงาน โดยส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ทำงานใกล้ชิดกับเขามาแล้วอย่างยาวนาน ส่วนด้านการต่างประเทศนั้น ไบเดนต้องการจะเรียกเครดิตความแข็งแกร่งให้กลับคืนมาสู่สหรัฐฯ โดยเขาดำริที่จะเปลี่ยนจากนโยบายโดดเดี่ยวของประธานาธิบดีทรัมป์หันกลับไปร่วมมือกับนานาชาติ และในทางกลับกันดูเหมือนว่าขณะเดียวกันนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจนแต้มเข้าสู่ทางตันเหมือนดั่งกำลังลงมือเอาตะปูตอกปิดฝาโลงของตนเองอย่างไม่รู้ว่าอนาคตจะออกมาในรูปแบบใด แต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาคงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆและคงพยายามที่จะขัดขวางต่อไปเรื่อยๆ และหากเขายังอยู่รอดปลอดภัยไม่โดนคดีใดๆเข้าสู่ซังเตไปเสียก่อน สี่ปีข้างหน้าเราก็คงจะเห็น เขาหวนกลับมาแข่งขันเพื่อตำแหน่งประธานาธิบดีอีกละครับ