วันที่ 24 พ.ย. นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือACT กล่าวถึง กรณีรัฐบาลเตรียมขยายสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปอีก 30 ปี (2572-2602) แก่บริษัท ระบบขนส่งมวลชน กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ว่าประชาชนรับรู้ข้อมูลเรื่องนี้น้อยเกินไป โดยเฉพาะหากจะให้สัมปทานทำไมจะต้องให้ทีละ30 ปี ให้น้อยกว่านั้นไม่ได้หรือ เช่น 20ปี แต่สำคัญสุดหากเอกชนจะสัมปทานไปแล้ว จะได้ผลประโยชน์อย่างไร และรัฐบาลจะได้อย่างไร และที่สำคัญประชาชนจะได้ประโยชน์ และวิถีชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่ ไม่นับประเด็นว่าผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่างๆหากได้รับสัมปทานไปแล้ว อาทิ ร้านค้า ป้ายโฆษณาต่างๆ ตามรถไฟฟ้า และ สถานี เอกชนจะได้เท่าไหร่ รวมทั้งจำนวนผู้โดยสารในอนาคตจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ชาวบ้านจะได้รับความสะดวกในการเดินทาง ราคาค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรม จำนวนรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ระยะเวลาความถี่ในการใช้บริการรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วนจะรวดเร็วขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั่วไปอยากทราบทั้งสิ้น "ผมเห็นว่ากติกาในการวางจ้างเอกชน มาดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวยุคนี้ก็ควรยึดกติกาหรือกฎหมายหลักของประเทศเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้เพื่อป้องการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่" นายมานะ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ยังไม่ได้มีการคุยกันว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่ แต่ส่วนตัวอยากให้ผู้เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลเรื่องนี้ให้ครบถ้วน เพื่อที่ประชาชนจะได้ช่วยกันติดตามและเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯในรัฐบาลที่แล้ว ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 ม.ค.2560 ได้มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาการบริหารและดำเนินกิจการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยให้เช่า 50 ปี โดยยังไม่แน่ชัดว่าใช้กฎหมายอะไร และยังเป็นข้อครหามาถึงทุกวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ฝากเอาไว้ให้คิด