คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ได้ผ่านไปแล้ว อีกทั้งในสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตก็ยังคงรักษาเสียงข้างมากเอาไว้ได้ ฉะนั้นโจทย์ต่อไปมีอยู่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาแข่งขันในอีกสี่ปีข้างหน้าของปี 2024 หรือไม่? และระหว่างค่ายพรรครีพับลิกัน กับ พรรคเดโมแครต ใครจะเป็นฝ่ายเข้าไปคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาอีก 45 วันข้างหน้าในการกำหนดอนาคตของประเทศ? และตามหลักประเพณีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกานั้น ผู้ที่แพ้การเลือกตั้งจะต้องแสดงสปิริตมีน้ำใจนักกีฬา เมื่อรู้ผลว่าตนพ่ายแพ้ก็จะโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีต่อคู่แข่งผู้ที่ได้รับชัยชนะ แต่ทว่าขณะนี้เวลาได้ผ่านไปแล้วกว่าสามสัปดาห์ และปรากฏว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังมิได้ปฏิบัติตามหลักประเพณีทั้งๆที่ลูกเขยและลูกสาวคนโตคนโปรดของเขาทั้งคู่แถมด้วยลูกสมุนทีมที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดของเขาอีกหลายๆคนต่างก็ออกมาเสนอแนะว่า เขาควรจะทำเช่นนั้นก็ตาม แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังคงสงวนท่าทีแกล้งเอาหูทวนลมไม่รู้ไม่เห็น!!! การเลือกตั้งในปี 2020 ที่เพิ่งจบสิ้นไปนั้นปรากฏว่า เครื่องนับคะแนนเสียงของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ “คริส เครบส์” ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงปลอดภัยด้านโครงการพื้นฐานและระบบคอมพิวเตอร์ของสหรัฐฯได้รับเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญจากบรรดานักการเมืองทั้งสองค่ายพรรคยักษ์ใหญ่ว่า ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มเปี่ยมด้วยความโปร่งใสยุติธรรม ทั้งนี้เนื่องจากผู้อำนวยการผู้นี้เป็นนักกฎหมายที่มีความช่ำชองและเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับแนวหน้าจากไมโครซอฟท์ ที่เขาและทีมงานได้ตระเตรียมและประสานงานกับภาครัฐในทุกๆรัฐมาก่อนหน้าแล้วอย่างดี และยังได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆในการนับคะแนนการเลือกตั้งขั้นต้นตั้งแต่ต้นปี 2020 เป็นต้นมา ทำให้ผู้อำนวยการคริส เครบส์มีความมั่นใจว่า สามารถแก้ไขการเข้าไปคุกคามและลดความเสี่ยงจากการแพร่ข่าวลวงและข้อมูลเท็จจากฝ่ายที่เป็นศัตรูของสหรัฐฯได้อย่างดีเยี่ยม!!! อีกทั้งคริส เครบส์ ยังได้ตระหนักดีว่า ขณะนี้สหรัฐกำลังเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด 19 อย่างหนัก ดังนั้นคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็จะหันไปส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์มากขึ้น ฉะนั้นเขาจึงได้เตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้าแล้วด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้อำนวยการฯคริส เครบส์ ยึดมั่นในคุณค่าของประชาชนชาวอเมริกันว่า ทุกๆคะแนนเสียงของคนอเมริกันมีค่าและเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวต่อแรงกดดันจากภายนอก โดยเขาออกมาชี้แจงว่า “ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวหาว่าการนับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้มีการทุจริต” เป็นผลทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์โกรธจัดต้องการจะสั่งปลดผู้อำนวยการผู้นี้ออกจากตำแหน่ง แต่เขาก็หาได้หวั่นเกรงไม่ ยังคงออกมานั่งยันยืนยันย้ำๆอยู่ตลอดเวลาว่า “ระบบการนับคะแนนภายใต้การดูแลของข้าพเจ้านั้น สามารถแก้ไขปัญหามิให้ต่างชาติเข้าไปแทรกแซงการนับคะแนนได้อย่างแน่นอน” โดยเขาได้สร้างความมั่นใจให้กับคนอเมริกันอีกด้วยว่า การนับคะแนนทั่วทั้งสหรัฐฯเป็นไปอย่างโปร่งใส ทั้งนี้การสั่งปลดคริส เครบส์ ได้เป็นไปตามความคาดหมายโดยเมื่อ 17 พฤจิกายน 2020 นี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งปลดผู้อำนวยการฯผู้นี้ผ่านทวิตเตอร์ไปแล้ว!!! ทั้งนี้การใช้เล่ห์เหลี่ยมของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ได้ออกมาพลิกแพลงประกาศแบบแผลงๆเมื่อเช้าวันพุธที่ 4 พฤศจิกายน 2020 เวลา 2.00 ที่ผ่านมานี้ว่า ตนเองเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะทั้งๆที่การนับคะแนนยังไม่แล้วเสร็จ และต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายนเขาก็ยังออกมาประกาศในทำนองนั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าบรรดาสื่อและสถานีโทรทัศน์ทั้งหลายแหล่ต่างเมินเฉยไม่ให้ความร่วมมือ แถมยังตัดคำพูดขี้แพ้ชวนตีเหล่านั้นของประธานาธิบดีทรัมป์ออกไป และเมื่อเห็นว่าการกระทำของเขาไม่ได้ผลประธานาธิบดีทรัมป์จึงได้โพสต์ทวิตเตอร์เป็นชุดๆเรียกร้องให้หยุดการนับคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน รัฐเพนซิลเวเนีย แอริโซนาและรัฐมิชิแกน เพราะคะแนนของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังนำหน้าอยู่ อีกทั้งเขายังสั่งให้ลูกสมุนที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายๆคนของเขาช่วยกันกระพือข่าวให้แพร่ไปในวงกว้างว่า “มีการโกงการเลือกตั้ง” แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จเขาจึงได้งัดเอากลเม็ดใหม่เอาข้อกฎหมายออกมาใช้ โดยออกมาอ้างว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ยุติธรรม โดยให้เหล่าบรรดาทีมทนายความที่เขาได้จัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้ายื่นฟ้องต่อศาลตามรัฐต่างๆ แต่ก็ยังพบกับความล้มเหลวอีกครั้ง เพราะศาลแต่ละรัฐออกมากล่าวว่า “เหตุผลมีไม่เพียงพอ” ทั้งนี้แผนของประธานาธิบดีทรัมป์ในการยื่นฟ้องต่อศาลหลายๆรัฐในอ้างที่ว่ามีการโกงการเลือกตั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะเขาตั้งความหวังที่จะให้ศาลสูงสุดสหรัฐฯเป็นฝ่ายตัดสินชี้ขาด โดยเขาอาจจะคิดว่า ผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่เขาได้แต่งตั้งขึ้นมาทั้งสามคนนั้นอาจจะเข้ามาช่วยเขาได้ แต่กลับปรากฏว่าข้ออ้างต่างๆของเขากลับไม่มีหลักฐานเพียงพอ อีกทั้งศาลในทุกๆรัฐต่างส่ายหัวปฏิเสธต่อข้อกล่าวหาของเขา!!! และแล้วในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2020 สำนักข่าวเอพีก็ได้ออกมาประกาศว่า รัฐแอริโซนา และ รัฐจอร์เจีย สองรัฐที่เหลืออยู่นั้น อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ โดยรัฐนอร์ท-แคโรไลนา ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ จากผลของการนับคะแนนรวมท้ายที่สุดแล้วผลปรากฏออกมาว่า คะแนนอิเล็กโทรัลของรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีชัยชนะนำเหนือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ที่ 306 ต่อ 232 เสียง เมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐบาลจีนก็ได้ออกมาแสดงความยินดีต่อว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนและว่าที่รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริสที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวอเมริกัน ซึ่งถือเป็นประเทศมหาอำนาจล่าสุดที่ได้ออกมากล่าวแสดงความยินดี ยกเว้นรัสเซียที่เพิกเฉยมิได้ออกมาแสดงท่าที ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์จะกลับมาลงเลือกตั้งแข่งขันเลือกตั้งอีกในปี 2024 หรือไม่นั้น ปรากฏว่ามีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า เขาอาจจะประกาศข่าวนี้ในตอนที่ ว่าที่ประธาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ “ดร.แมรี่ ทรัมป์” นักจิตวิทยา หลานสาวของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2020 นี้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีโรคประจำตัวหลายๆโรคที่ยังมิได้รับการรักษาเยียวยา แถมยังมีคดีอาญาและคดีแพ่งที่ติดตัวจ่อคิวรออีกหลายๆคดีอีก และเมื่อพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็จะกลายเป็นแค่พลเมืองธรรมดาๆที่ไม่มีเกราะปกป้องตนเอง นับว่าเป็นการลำบากที่จะลงเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯอีกครั้งในสี่ปีข้างหน้า!!! อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่ถือได้ว่าการต่อสู้ของเขาทั้งสองยังไม่จบสิ้นลง เนื่องจากเขาทั้งสองยังจะต้องแสดงบารมีในศึกใหญ่ เพื่อช่วงชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกสองที่นั่ง ณ รัฐจอร์เจีย ที่มีอาณาเขตติดกับรัฐฟลอริดาในการเลือกตั้งอีก 45 วันข้างหน้า และหากว่าโจ ไบเดน ลุ้นไม่ขึ้นไม่สามารถเอาชนะตำแหน่งวุฒิสมาชิกสองที่นั่งในรัฐจอร์เจียนี้ได้ เขาก็จะเสียเปรียบในวุฒิสภาที่ขณะนี้พรรครีพับลิกันยังคงมีเสียงข้างมากอยู่ที่ 50 ต่อ 48 เสียง และหากเป็นเช่นนั้นอุปสรรคในการบริหารประเทศก็คงจะมีปัญหามิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการผ่านร่างกฎหมายสำคัญๆหรือไม่ว่าจะเป็นด้านการรับรองคณะรัฐมนตรีที่เขาจะเลือกสรร โดย “วุฒิสมาชิกมิทช์ แม็คคอนเนลล์” สิงห์เจนสังเวียนประจำวุฒิสภาแห่งค่ายพรรครีพับลิกันคงจะต้องวางตัวเป็นจระเข้คอยขวางคลองค้ำคอโจ ไบเดนทุกๆวิถีทาง ไม่เหมือนกับสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ขณะนั้นพรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรสสองปีแรกการบริหารประเทศจึงผ่านไปได้อย่างฉลุย กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะลงแข่งขันในปี 2024 เขาก็จะกลายเป็นตัวเต็งทันที เพราะเขายังได้รับการสนับสนุนจากฐานเสียงของเขาอย่างเต็มที่ โดยนักการเมืองคนอื่นๆของพรรครีพับลิกันก็คงจะผายมือเปิดทางให้ไม่ว่าจะเป็น รองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์ หรือ รัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ พอมเปโอ และหากว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะแข่งขันกันอีกในสมัยที่สองก็เท่ากับว่าเป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่แบบศึกช้างชนช้างละครับ