ในชีวิตประจำวันของผู้คนทุกวันนี้ ล้วนมี “นวัตกรรม” เข้ามาเกี่ยวข้องแทบทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนแห่งอนาคต และจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความผันผวนมาโดยตลอด ผู้ลงทุนจึงควรมองหาความแตกต่างและโอกาสใหม่ๆในการลงทุน ทีเอ็มบีและธนชาต เวลท์ แบงก์กิ้ง ได้จัดงานสัมมนา “หุ้นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก...พลังแห่งการเติบโตที่เหนือกว่า” พร้อมอัปเดทสถานการณ์ตลาดการลงทุนในปัจจุบัน โดยมี นายพงศ์สรร ยอดเมืองเจริญ ผู้อำนวยการส่วนบริหารผลิตภัณฑ์ TMBAM Eastspring และนายศรายุทธ แก้วเกษ หัวหน้าบริหารความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนและความคุ้มครอง ทีเอ็มบี ร่วมกันนำเสนอข้อมูลการลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน ช่วยสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นต่อไป การลงทุนในอดีต ผู้ลงทุนมักจะเน้นเรื่องของคุณค่า (Value Investor: VI) โดยหลักการลงทุนคือ พยายามเลือกซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง ราคาถูก ถือลงทุนระยะยาว 5-10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ประมาณ 12-13% ต่อปี แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนเริ่มลดลงมาเหลือ 8-9% ต่อปี ผู้ลงทุนจึงให้ความสนใจหุ้นกลุ่มเหล่านี้น้อยลง เพราะเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก มีธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการใช้นวัตกรรม จึงมีผู้ลงทุนที่เรียกว่า Innovation Investor ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีมากด้วยหลักการเข้าไปลงทุนในหุ้นที่มีนวัตกรรมเปลี่ยนโลก จับจังหวะเข้าซื้อในช่วงที่ยังไม่มีใครสนใจเป็นจังหวะแรก ๆ ของการลงทุน ดิสรัปชันสร้างโอกาสใหม่ แค่ต้องเลือกลงทุนใน Disruptor สิ่งที่สำคัญในการลงทุนหุ้นนวัตกรรมคือ การมองหา“ผู้ชนะ” (Disruptor) ที่มีการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เป็นผู้นำเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก มีการปรับตัวตลอดเวลา ทำให้มูลค่าบริษัทสูงขึ้นในอนาคต ผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะสูงมาก ซึ่งจะแตกต่างกับการเลือก “ผู้แพ้” (Disruptee) ที่มูลค่าของบริษัทมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ โดยจะเห็นได้จากตลาดหุ้นเอสแอนด์พี 500 ของสหรัฐฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยหุ้น 50 ตัวแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจะมีระยะเวลาอยู่ในอันดับน้อยลงเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงโลกมีการเปลี่ยนหมุนเวียนไป หากบริษัทขนาดใหญ่ไม่มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนไปสุดท้ายจะกลายเป็นบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นหากผู้ลงทุนสามารถมองหาผู้ที่เป็น Disruptor ได้ และขายหุ้นที่เป็น Disruptee ก็มีแนวโน้มสร้างการลงทุนที่ดีได้ในอนาคต 5 นวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่น่าสนใจลงทุนมีโอกาสเติบโตสูง สำหรับนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลกในทศวรรษนี้ มีอยู่ 5 ธีม ประกอบด้วย 1.Energy Storage เนื่องจากยิ่งผลิตมากขึ้น ต้นทุนก็จะยิ่งต่ำลง เข้าถึงผู้คนและเกิดใช้งานเพิ่มขึ้น จนพัฒนาเป็นนวัตกรรมขึ้นมา เช่น รถยนต์ไฟฟ้า และโดรน ซึ่งมีการประเมินว่ายอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตสูงถึง 79% ต่อปีในอีก 4 ปีข้างหน้า 2.Artificial Intelligence หรือ AI ที่สร้างความฉลาดให้กับคอมพิวเตอร์ในการทำความเข้าใจและแก้ปัญหาต่างๆได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ไปได้ไกลมาก ในอนาคตอันใกล้เราจะได้เห็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับ 3.DNA Sequencing ในอนาคตที่นักวิทยาศาสตร์สามารถถอดรหัสและแก้ไขพันธุกรรมได้ก็จะช่วยป้องกันและรักษาโรคร้ายของมนุษย์ได้ 4.Robotics หรือหุ่นยนต์ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุนแรงงาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าหุ่นยนต์เข้ามามีอิทธิพลในภาคธุรกิจและบริการมากขึ้น จากที่ในอดีตอยู่ในอุตสาหกรรมเป็นหลักก็จะขยายมาสู่ภาคบริการมากขึ้น 5.Blockchain เงินที่สามารถโอนผ่านกันสะดวก ต้นทุนต่ำ ไม่ผ่านตัวกลาง การลงทุนในหุ้นทั้ง 5 นวัตกรรมนี้ ถือว่าอยู่ในจุดเริ่มต้น และเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มีการเติบโตค่อนข้างมากจากปกติวงจรธุรกิจนี้ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ มีระยะเวลารวมประมาณ 35 ปี ช่วงแรกเป็นช่วงเริ่มลงทุนใช้เวลาราว 7 ปี ในการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ส่วนระยะสองเริ่มรับรู้รายได้และกำไร ช่วงนี้มีเวลา 14 ปี และระยะสุดท้ายเป็นช่วงของการอิ่มตัวอาจถูกธุรกิจอื่นเข้ามาดิสรัปชัน หากเข้าไปลงทุนตอนนี้จะอยู่ในช่วงผ่านระยะหนึ่งไปสู่ระยะสอง เริ่มมีกำไรและยังมีเวลารับผลประโยชน์อยู่ จึงเป็นการลงทุนที่ไม่สายเกินไป ซึ่งมีการคาดหมายว่ามูลค่าตลาดรวมของนวัตกรรมจะเติบโตเกือบ 10 เท่า จากปัจจุบันนี้ ถึงปี 2032 หรือมีอัตราการเติบโต 21% ต่อปี” หุ้นเติบโตสูงมาพร้อมความเสี่ยง แนะลงทุนผ่านกองทุน อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนในหุ้นนวัตกรรมจะมีการเติบโตสูง แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงไม่น้อย ดังนั้น การมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและคอยติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ลงทุน ทีเอ็มบีและธนชาตได้ร่วมกับ TMBAM Eastspring คัดสรรกองทุน TMB Eastspring Global Innovation Fund (TMB-ES GINNO)และ Thanachart Eastspring Global Innovation Fund (T-ES-GINNO) ซึ่งลงทุนในกองทุนหลักคือ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกมานำเสนอ โดยจุดเด่นของกองทุนนี้คือ 1) สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับ 38% ต่อปีตั้งแต่จัดตั้ง(29 ก.ย.2018) ในขณะที่ดัชนีชี้วัด MSCI World NR USD อยู่ที่ 8.21% 2) มองหาผู้ชนะในอนาคตที่หลายคนยังมองไม่ออกในปัจจุบัน 3) เน้นถือหุ้นขนาดกลางและเล็กซึ่งแตกต่างกับกองทุนอื่นๆที่เน้นขนาดใหญ่ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายการลงทุนได้เป็นอย่างดี 4) มีทีมงานมีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจหรือจบด้านนวัตกรรมมาโดยตรง 5) สามารถถือลงทุนได้ในระยะเวลานาน เหมาะกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยควรถือขั้นต่ำตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป และเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงและรับความเสี่ยงได้มาก ซึ่งกองทุน TMB Eastspring Global Innovation Fund และกองทุน Thanachart Eastspring Global Innovation Fund จะมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนแบบดุลยพินิจโดยปัจจุบันกำหนดไว้ที่ระดับ 90%