ECF เผยผลประกอบการไตรมาส 3 รายได้ 406.40 ล้านบาท โต 24.04%YOY กำไรสุทธิ 21.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.11%YOY ชี้แนวโน้มช่วง COVID-19 ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ธุรกิจฟื้นตัว เติบโตดี ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เข้าไฮซีซั่น ออเดอร์ส่งออกลูกค้าญี่ปุ่น จีน อินเดีย อเมริกาทะลัก ดันยอดขายต่างประเทศพุ่ง เตรียมเพิ่มกำลังการผลิต มุ่งเน้นกลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุนในการขายและการบริหาร เพิ่มความสามารถในการทำกำไร นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 406.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 327.64 ล้านบาท จำนวน 78.75 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.04 % และมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่จากงบการเงินรวม 21.91 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 47.11% โดยสามารถสร้างอัตรากำไรต่อรายได้รวมได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก 4.54% เป็น 5.39% โดยผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาได้สะท้อนการฟื้นตัวจากคำสั่งซื้อลูกค้าที่เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ เริ่มกลับมามีคำสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากลูกค้าในต่างประเทศ เพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ (COVID-19) คลายล็อคดาวน์ อีกทั้งคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศในกลุ่มอินเดีย จีน และสหรัฐอเมริกา เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่ไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่รายได้และกำไรลดลงในช่วงที่ผ่านมา สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน รายได้รวมทั้งสิ้น 994.08 ล้านบาท มีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 991.94 ล้านบาท ร้อยละ 0.22 % แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของ COVID-19 และมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่จากงบการเงินรวม 37.20 ล้านบาท ลดลง 14% โดยมีอัตรากำไรต่อรายได้รวมได้ที่ 3.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก 4.36% ซึ่งเกิดจากกำไรที่ลดลงไปในช่วงไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 จาก COVID-19 อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเน้นการวางแผนบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร พร้อมปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการ ซึ่งเริ่มเห็นผลจากนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับเตรียมที่จะหาแนวทางการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการผลิตผ่านการเสริมเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อหาทางลดต้นทุนด้านค่าแรงงานต่อไป นายอารักษ์กล่าวต่อว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 3/63 และปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีหน้า เนื่องจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น จากการขยายตลาดต่างประเทศ มีสัญญาณการเติบโตที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ จากกลุ่มลูกค้ารายใหม่ในญี่ปุ่นและกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่บริษัทขยายฐานการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ส่งออกไปประเทศอินเดีย จีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมียอดคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อรองรับออเดอร์จากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 66% และในประเทศอยู่ที่ 34% ขณะที่ตลาดในประเทศ บริษัทมุ่งเน้นกระตุ้นยอดขายในช่องทางจำหน่ายใหม่ ๆ อาทิ จำหน่ายผ่านออนไลน์ ร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีสาขาทั่วประเทศพร้อมกับแผนการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศผ่านลูกค้าของบริษัท สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทน จะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้นตลอดปี 2563 จากปัจจุบันมีรายได้เชิงพาณิชย์สำหรับเฟสที่ 1 ขนาด 50 เมกะวัตต์ จากทั้งหมด 4 เฟส 220 เมกะวัตต์ ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2562 ที่ผ่านมาสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ โดยบริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด (ECF-P) ในฐานะบริษัทย่อย เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 ซึ่งในไตรมาสที่ 3 นี้ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรมูลค่า 11.55 ล้านบาท โดยคาดว่า สำหรับเฟสที่ 2 ขนาด 50 เมกะวัตต์ต่อไป จะสามารถรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ได้ประมาณเดือนสิงหาคม ปี 2564 นี้