คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ความศักดิ์สิทธิ์และคุณค่าในระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกานั้น อยู่ที่หนึ่งเสียงและหนึ่งโหวตและไม่ว่าคนอเมริกันจะพำนักอาศัยอยู่ส่วนไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม ผู้ที่มีสิทธิออกเสียงจะได้รับบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ในยุคการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลทำให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต้องอาศัยการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ หรือไม่ก็จะเดินทางไปลงคะแนนด้วยตนเองล่วงหน้าก่อนถึงวันเลือกตั้ง เนื่องจากพวกเขาต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คนหมู่มาก ซึ่งมีผู้ที่ลงคะแนนล่วงหน้าทั้งสองประเภทนี้ราวๆ 99 ล้านคน!!! โดยการจัดการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของแต่ละรัฐที่จะต้องเป็นฝ่ายเข้าไปดำเนินการ และในการเลือกตั้งครั้งนี้มีคนอเมริกันไปลงคะแนนเสียงทั้งหมดมากกว่า 159.8 ล้านคน ถือว่าได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้เกิดขึ้นมาอีกครั้งคราหนึ่งเลยทีเดียว และยังปรากฏอีกด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้คนหนุ่มคนสาวไปลงคะแนนล่วงหน้ามากที่สุด โดยเทคะแนนให้กับอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ส่วนกลุ่มผู้ชายส่วนใหญ่แล้วกลับเทคะแนนเสียงให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างไรก็ตามก่อนหน้าวันเลือกตั้งปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์วิ่งรอกไปตามรัฐต่างๆเรียกร้องให้ผู้ที่นิยมชมชอบตนไปลงคะแนนเสียงในวันเลือกตั้งวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน 2020 เนื่องจากเขาหวังที่จะมีคะแนนนำหน้าคู่ต่อสู้ไปก่อน เพราะบางรัฐมีการนับคะแนนที่ส่งทางไปรษณีย์ภายหลัง อาทิ รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคะแนนอิเล็กโทรัล 20 คะแนนทั้งนี้ก็เพราะว่ากฎหมายห้ามไม่ให้แตะต้องบัตรที่ลงคะแนนเสียงที่ส่งทางไปรษณีย์ และการเลือกตั้งในครั้งนี้เพนซิลเวเนียถือเป็นรัฐชี้ขาดว่า ใครจะเป็นผู้กำชัยชนะได้รับเลือกให้เข้ารับตำแหน่งนประธานาธิบดี!!! และด้วยกลเม็ดอันแสนแพรวพราวปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นฝ่ายมีคะแนนนำหน้าในหลายๆรัฐไปก่อน และเมื่อเป็นเช่นนั้นในวันพุธที่ 4 พฤศจิกายนนี้ประธานาธิบดีทรัมป์จึงได้ออกมาแถลงว่า “ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายชนะ และขอให้ศาลสูงสุดสั่งให้หยุดการนับคะแนนที่ส่งไปทางไปรษณีย์” กระนั้นก็ตามถึงแม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเจ้าเล่ห์ออกอุบายใช้เล่ห์เหลี่ยมมากมายเพียงใด แต่กลับไม่เป็นผลเพราะคะแนนของโจ ไบเดนค่อยๆแซงขึ้นหน้า อนึ่งทั้งสองค่ายต่างลุ้นมุ่งตรงไปที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคะแนนอิเล็กโทรัลทั้งหมด 20 คะแนน โดยแรกเริ่มวันที่ 4 พฤศจิกายนประธานาธิบดีทรัมป์มีคะแนนนำไปแล้วถึง 675,000 คะแนน ทั้งนี้ก็เพราะว่ากฎหมายห้ามไม่ให้แตะต้องบัตรที่ลงคะแนนเสียงที่ส่งทางไปรษณีย์ แต่เพียงแค่ข้ามคืนเมื่อนับคะแนนที่ส่งมาทางไปรษญีย์แล้วนั้นปรากฏว่า คะแนนที่เคยมีนำหน้าของเขากลับลดลงเหลือเพียง 26,319 คะแนน ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างแรง และในเช้าวันเสาร์ก็ยังปรากฏอีกเช่นกันว่า คะแนนของโจ ไบเดนได้ค่อยๆแซงขึ้นหน้าประธานาธิบดีทรัมป์ จนกระทั่งช่วงบ่ายอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนทำคะแนนนำล่วงหน้าไปก่อนถึง 34,000 คะแนน โดยสำนักข่าวเอพีได้ออกมาแถลงว่า โจ ไบเดนเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งได้เข้าไปรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ โดยมีคะแนนอิเล็กโทรัล 273 คะแนน อีกทั้งสำนักข่าวเอพีก็ยังแถลงเพิ่มเติมอีกว่า ไบเดนก็สามารถเอาชนะที่รัฐเนวาด้าด้วย ซึ่งในรัฐนี้มีคะแนนอิเล็กโทรัล 6 คะแนน แต่เมื่อดูคะแนนอิเล็กโทรัลของประธานาธิบดีทรัมป์แล้วยังคงหยุดนิ่งอยู่กับที่ 214 คะแนน และเมื่อการประโคมข่าวถึงชัยชนะของโจ ไบเดน แพร่กระจายออกมาอย่างครึกโครม มีผลทำให้ฝ่ายที่นิยมชมชอบโจ ไบเดนต่างแห่แหนกันออกมาแสดงการดีอกดีใจฉลองชัยชนะกันทั่วประเทศ อนึ่งเมื่อเวลา 20.00 ของวันเสาร์ที่แล้ว “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” และ “วุฒสมาชิกคามาลา แฮร์ริส” ก็ได้ออกไปปรากฏตัวกล่าวคำปราศรัยเพื่อประกาศชัยชนะ โดยทั้งคู่ต่างได้รับเสียงเชียร์อย่างกึกก้อง โดยเนื้อหาในสุนทรพจน์ของโจ ไบเดนได้ชูประเด็นในการให้คำมั่นสัญญาที่จะเยียวยาและสมานฉันท์ความแตกแยกที่เกิดขึ้นภายในประเทศ โดยจะเรียกจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของสหรัฐอเมริกาให้คืนกลับมา!!! โจ ไบเดน ได้กล่าวถ้อยแถลงว่า “ข้าพเจ้าได้รับชัยชนะครั้งนี้จากความไว้วางใจของคนอเมริกันกว่า 74 ล้านคน ซึ่งเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การเมืองครั้งใหม่ให้เกิดขึ้น” และยังมีถ้อยคำตอนหนึ่งที่อาจจะพุ่งตรงไปแทงใจดำของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างจังก็เป็นได้ โดยโจ ไบเดนได้กล่าวว่า “ขอให้เราให้โอกาสซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องใช้วาทะโจมตีกัน เลิกเป็นปฏิปักษ์ไม่เป็นศัตรูต่อกัน และขอให้เราทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” อีกทั้งไบเดนยังได้ชี้ถึงวิกฤติสำคัญที่ประเทศสหรัฐฯกำลังเผชิญอย่างหนักหนาสาหัสอยู่ในขณะนี้ว่า “อันดับแรกข้าพเจ้าจะต้องบริหารจัดการต่อโรคโควิด-19 ที่กำลังคร่าชีวิตของชาวอเมริกันไปแล้วกว่าสองแสนคนอย่างเร่งด่วน โดยจะแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ และจะหันไปร่วมมือกับนานาประเทศ อาทิเช่น ความตกลงปารีสเรื่องโลกร้อน อีกทั้งจะนำสหรัฐฯหันกลับไปให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก” ในตอนท้ายโจ ไบเดนยังชี้ต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะมุ่งมั่นทำความดี เพื่อนำพาสหรัฐฯให้กลายเป็นประเทศที่แข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทุกๆอย่างย่อมเกิดขึ้นได้” ทั้งนี้เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวรายงานออกมาว่า “เจร็ด คูชเนอร์”ลูกเขยคนโปรดหลังจากที่ร่วมกันปรึกษากับ “อีวานก้า ทรัมป์”ผู้เป็นภรรยาและเป็นลูกสาวคนโปรดและที่ปรึกษาคนใกล้ชิดของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้พยายามขอร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงยอมรับการพ่ายแพ้เลือกตั้งในครั้งนี้ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์หาได้รับฟังคำร้องไม่ โดยเขาได้ตัดสินใจเดินหน้าเพื่อต่อสู้ทางศาลต่อไป ทั้งๆที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายต่างก็ออกมาวิเคราะห์กันในทิศทางเดียวกันแล้วว่า “แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะชนะคดี เพราะหลักฐานมีไม่เพียงพอ อีกทั้งคะแนนของไบเดนก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ทั้งคะแนนอิเล็กโทรัล และคะแนนป๊อปปูลาร์เหนือประธานาธิบดีทรัมป์กว่าสี่ล้านคะแนนเสียง” ทั้งนี้ผู้นำของพรรครีพับลิกันหลายๆคนได้ออกมาแสดงความยินดีกับโจ ไบเดนกันแล้ว อาทิเช่น อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช พร้อมด้วย เจฟ บุช ผู้เป็นน้องชาย, วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์ นักการเมืองอาวุโสผู้ทรงอิทธิพลอีกคนหนึ่งของพรรครีพับลิกัน แห่งรัฐยูทาห์, ผู้ว่าแลร์ โฮแกน แห่งรัฐแมรี่แลนด์ ดาวการเมืองของพรรครีพับลิกันที่นักการเมืองผู้นี้อาจจะลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยหน้า ฯลฯ และยังมีผู้นำจากประเทศต่างๆทั่วโลกต่างทะยอยส่งความยินดีต่อโจ ไบเดน อาทิเช่น นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน แห่งอังกฤษ, นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี และ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล เพื่อนสนิทของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นต้น ณ วันพุธที่ 11 พฤศจิกายนนี้ ตามรายงานของสำนักข่าวเอพีที่ออกมาเปิดเผยว่า คะแนนอิเล็กโทรัลของโจ ไบเดน นำเหนือประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 290 ต่อ 214 คะแนน ส่วนทีมงานของโจ ไบเดนจะประสบความสำเร็จในการที่พวกเขาออกมากล่าวถ้อยแถลงว่าจะไปกู้ชาติสหรัฐฯของพวกเขาให้กลับมาผงาดได้ดั่งเดิมหรือไม่นั้น มองๆไปแล้วนับว่าเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายอาทิเช่น การตีรวนของประธานาธิบดีทรัมป์ และยังไม่แน่นอนว่าวุฒิสภาค่ายพรรคเดโมแครตจะสามารถคุมเสียงข้างมากได้หรือไม่ เพราะยังจะมีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกสองที่นั่งที่รัฐจอร์เจียในเดือนมกราคมปีหน้า ส่วนในสภาผู้แทนราษฎรนั้นพรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากเพียง 226 ต่อ 209 คะแนน (จาก NBC ของวันที่ 7 พฤศจิกายน) กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้มีปรากฏการณ์แปลกๆใหม่เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ในขณะที่แข่งขันเลือกตั้งเขามีอำนาจอยู่ในมือเต็มที่ก็ตาม แต่กลับต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน โดย“ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” จะประสบความสำเร็จครบ 100 วันในวันที่ 29 เมษายน 2021 อีกทั้งเขายังมีอุดมการณ์หมายมุ่งที่จะบริหารจัดการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19ให้บรรเทาลงไป เพื่อสร้างความมั่นใจในแวดวงธุรกิจ อีกทั้งไบเดนยังมีความปรารถนาต้องการที่จะกระชับความสัมพันธ์ต่อนานามิตรประเทศที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยหันหลังให้ และต้องการที่จะกลับเข้าไปเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก รวมถึงเข้าร่วมกับข้อตกลงปารีสเรื่องภาวะโลกร้อน ต้องการเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ติดตามพ่อแม่เข้าสหรัฐฯตอนเด็กๆที่เรียกว่า “Dreamers”ประมาณแปดแสนกว่าคนได้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยขัดขวาง ต้องการที่จะต่อยอดสวัสดิการด้านสุขภาพจากโครงการของประธานาธิบดีบารัก โอบามา และเนื่องจากไบเดนอยู่ในตำแหน่งวุฒิสมาชิกมาอย่างยาวนานถึง 36 ปี เข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีในยุคสมัยของประธานาธิบดีโอบามา 8 ปี เขาจึงมากด้วยประสบการณ์ที่ช่ำชองและเชี่ยวชาญ แถมยังมีขุนพลทางการเมืองเข้ามาเป็นกำลังหนุนอาทิเช่น อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่พร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือให้คำปรึกษาในทุกๆด้านอย่างเพียบพร้อม อีกทั้งประวัติการทำงานของไบเดนก็เป็นนักประนีประนอมที่สามารถทำงานได้ดี และการที่เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นคนดีมีน้ำใจก็อาจจะได้รับความร่วมมือและได้รับความช่วยเหลือจากทุกๆฝ่าย โดยไม่ยากนักละครับ