เพจ Peace News เผยแพร่ความเห็นนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ว่า ... “จตุพร พรหมพันธุ์” เชื่อ ใครก็ตามที่เป็นผู้ปกครอง ไม่รักษาสัจจะวาจา บุคคลผู้นั้นก็จะนำความเสื่อม อำนาจไม่มีใครสามารถอยู่ได้อย่างจีรัง ปมเป็นนายกรัฐมนตรีผิดคำพูดกับประชาชนมาโดยตลอด เชื่อ 17-18 พฤศจิกายนนี้ จะเป็นจุดชี้ประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกหน้าหนึ่ง เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk โดยพูดถึง สถานการณ์ทางการเมืองที่จะนำพาประเทศไปสู่ทางตันในขณะนี้ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหัวข้อเสื่อม โดยก่อนเข้าสู่เนื้อหาตามหัวข้อนายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนได้เดินทางไปศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ในคดีเหตุการณ์สงกรานต์เลือด ก็มีโอกาสพบกับเพื่อนพ้องน้องพี่ โดยวันนี้พยานโจทก์พลตำรวจตรีวิชัย สังข์ประไพ อดีตรอง ผบช.น. มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ศาลจึงให้เลื่อนไปก่อน โดยนัดใหม่วันที่ 17-18-19 พฤศจิกายนนี้ พร้อมทั้งได้ถามสารทุกข์สุขดิบ โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัวนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯมาศาล ก็ทราบว่า จะได้รับอิสรภาพอีกไม่นาน ทั้งนี้ ตนมีความรู้สึกมีความเข้าใจในกระบวนการเข้าคุกออกคุกกันมาโดยตลอด วันนี้ส่วนที่เป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ในเรือนจำพิเศษ นอกจากนายณัฐวุฒิแล้ว ก็จะมีจ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส่วนในเรือนจำพัทยาก็จะมีนายศักดา นพสิทธิ์ นายสิงห์ทอง บัวชุม ขณะเดียวกันที่เรือนจำตราดก็มีนายสำเริง ประจำเรือ ดังนั้นก็มีความคาดหวังว่าเพื่อนเราเหล่านี้จะได้รับอิสรภาพอีกไม่นาน นอกจากนี้ได้พูดคุยกับนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ทราบว่าสุขภาพไม่ค่อยดีเป็นพาร์กินสัน รวมถึงได้พูดคุยกับนายแพทย์เหวง โตจิราการและนางธิดา ถาวรเศรษฐ แต่ละคนก็มีความห่วงใยในเรื่องสุขภาพกันทั้งสิ้น นายจตุพร กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันก็มีเพื่อนพ้องน้องพี่มาให้กำลังใจนายณัฐวุฒิจำนวนมาก เนื่องจากเป็นคนเดียวในคดีนี้ที่ยังอยู่ในเรือนจำ ก็วาดหวังว่า บรรดาพี่น้องผองเพื่อนทั้งหมด จะได้รับแสงอิสรภาพกันถ้วนหน้าและส่วนตัวเมื่อเห็นก็มีความทุกข์ เราต่างคนต่างล้วนแต่ผ่านกันมา สลับเข้าคุกออกคุกกันอย่างนี้มาโดยตลอด นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตามหัวข้อที่บอกว่า เสื่อม ในทางการเมืองหากแปลเป็นคำโดดๆคือ กำลังเดินถึงจุดวิกฤตศรัทธาทางการเมือง อย่างรุนแรงมากที่สุดกันอีกครั้ง ซึ่งเห็นได้จากภาพที่ปรากฏ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อวานนี้ กรณีมีคนสวมเสื้อเหลืองไปต่อต้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รวมถึงภาพต่างๆที่ออกมาจากสนามบิน ซึ่งข้อเท็จจริงภายหลังตัวนายธนาธรไม่ได้อยู่ในรถ แต่ภาพปรากฏการณ์ต่อต้านการลงพื้นที่นั้นคือสิ่งที่เกิดมากว่า 10 ปีนี้ นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ตนเคยได้แสดงความคิดเห็นมาโดยตลอดว่า จริงๆแล้วไม่ว่าเราจะมีความเชื่อทางการเมืองกันอย่างไร แต่คนที่เกิดมาเป็นคนไทยต้องสามารถเดินทางไปได้ทุกหนทุกแห่ง และตนเคยพูดเสมอว่า ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรง ตนเดินทางไปภาคใต้ก็จะถูกต่อต้าน ขณะเดียวกันตนก็เตือนว่าหากเดินทางมาภาคกลาง ภาคเหนือ หรือพื้นที่ใดจะต้องได้รับการต่อต้านกลับเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าตัวต้องการเช่นนั้น แต่มองว่าเราไม่ควรที่จะไปเริ่ม เพราะหากเริ่มแล้วจะจบกันยากในเรื่องของความเกลียดชัง ดังนั้นความเชื่อทางการเมืองใดก็ตาม แม้จะมีความเห็นที่ต่างกัน แต่เราควรที่จะยึดแนวทางสันติวิธี หลายๆคนอาจจะย้อนว่า ภาพต่างๆในอดีตของพี่น้องคนเสื้อแดง ตนก็อยากจะบอกว่าหลายเรื่อง ก็เหมือนภาพที่นายธนาธรไม่ได้อยู่ในรถคันดังกล่าวนั้น และบัดนี้ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. อ้างว่าเข้ามาเพื่อรักษาความสงบ จนกระทั่งรอยต่อของการสืบทอดอำนาจ ก็พูดชัดเจนว่าเลือกความสงบจบที่ลุงตู่ อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีนี้มีโอกาสที่จะสร้างความสมานฉันท์ขึ้นมาในชาติ ต่างกรรมต่างวาระหลายครั้ง แต่กลับไม่ได้กระทำ ทั้งที่บรรดาคู่ขัดแย้งเก่าจนบัดนี้มีคู่ขัดแย้งใหม่ ได้ให้ความร่วมมือกันทุกฝ่ายในการร่วมกันสร้างความสมานฉันท์ ขึ้นภายในชาติ เพราะต่างฝ่ายต่างรับรู้ว่า ประเทศอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากคนไทยยังมีความขัดแย้งและปลูกฝังความชิงชังระหว่างกันแล้วนั้น ประเทศไม่มีวันที่จะเดินหน้าต่อไปได้ แต่เราเดินมาถึงจุดที่พูดให้คนรักกันนั้นยากที่สุด แต่หากพูดให้คนเกลียดกันจะได้รับความนิยม เพราะหลายเรื่องราวได้ตอกย้ำหัวใจประชาชนให้เกิดความรู้สึกถึงความยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ นายจตุพร ยังกล่าวว่า เราต้องสร้างความเสมอภาคกันทางความรู้สึกจะต้องไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม และไม่เสมอภาคกัน ทั้งนี้ความสามัคคีจะเกิดขึ้นมาได้ ต้องภายใต้ความยุติธรรมทั้งปวงโดยเฉพาะทางความรู้สึก พฤติกรรมและการกระทำต่างๆ นายจตุพร ยังกล่าวต่ออีกว่า ภาพเมื่อวานนี้เป็นสิ่งที่ตนไม่อยากเห็นกันอีก เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้น คือ เรากำลังจะเดินเข้าไปจุดเหมือนเดิม และจะถูกหยิบยกกลายเป็นเงื่อนไขของการเข้ามาขอเวลาอีกไม่นานกันอีกรอบ และสุดท้าย ปัญหาชาติก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยความเกลียดชัง ทั้งนี้หากแก้ไขด้วยวิธีการปกติตามแนวทางที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์และพวกออกแบบกันเอาไว้เป็นความยากลำบากมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องรัฐธรรมนูญ เพราะมีความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวข้องในเชิงอำนาจอันนำไปสู่ความขัดแย้งทั้งปวง ดังนั้นที่เดินกันอยู่ในเวลานี้ไม่ว่ากันเสนอญัตติของฝ่ายค้าน รัฐบาลหรือในส่วนภาคประชาชน การเล่นแร่แปรธาตุในซีกรัฐบาลและส.ว.ตั้งแต่การตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาเนื้อหาของการอภิปรายของญัตติ 6 ญัตติในขณะนั้นว่า ควรจะโหวตกันอย่างไร แต่ทันทีเมื่อจะใกล้ความจริงของการแก้ไขซึ่งประธานสภาได้นัดหมายวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ แปลความว่าสัปดาห์หน้า ก็จะรู้ว่า หมู่ หรือ จ่า เพราะสุดท้ายแล้วจะเป็นการพิสูจน์ธาตุแท้ของนักการเมือง และผู้มีอำนาจว่า ถึงที่สุดแล้วได้ปฏิบัติตามสัจจะวาจาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ นายจตุพร ได้กล่าวเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ลาออก เพราะอย่างน้อยที่สุดบรรดา ส.ส.และส.ว.ที่พลเอกประยุทธ์ตั้งมากับมือนั้น ไม่ทำตามสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ได้พูดไว้ในที่ประชุมรัฐสภาถึง 2 ครั้ง และอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ใครก็ตามที่เป็นผู้ปกครอง ไม่รักษาสัจจะวาจา บุคคลผู้นั้นก็จะนำความเสื่อม อำนาจไม่มีใครสามารถอยู่ได้อย่างจีรัง ความดีมีความมั่นคงและคงทน “สิ่งที่เป็นความชัดเจนมากที่สุดคือ การไม่ออกมาตำหนิ ส.ส. และส.ว. ที่ย้อนแย้งทั้งข้อเสนอของตัวเองและการพูดของนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าร่างแก้ไขจะเสร็จในเดือนธันวาคม ดังนั้นเมื่อมีการยื่นตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเสร็จทันเดือนธันวาคมได้อย่างไร และเชื่อว่า วันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ จะเป็นจุดชี้ประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกหน้าหนึ่ง” นายจตุพร กล่าว นายจตุพร ยังได้เตือนสติพี่น้องที่สวมเสื้อเหลือง ว่า วันนี้ต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ เสื้อเหลืองที่ทำหน้าที่ในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบัน นี่คือสิ่งที่ต้องยกย่องในการทำหน้าที่ จะเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกับใคร มีแต่การเปล่งวาจาส่งเสียง ทรงพระเจริญ แต่เสื้อเหลืองที่ปกป้องนักการเมืองโดยแอบอ้างสถาบัน นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง “หากต้องการจะปกป้องนักการเมืองหรืออำนาจของนักการเมืองหรือต้องการจะสนับสนุนพรรคการเมืองนักการเมืองและต้องการทำลายฝ่ายตรงข้าม ก็ไม่ควรที่จะใส่เสื้อเหลืองนำพระบรมฉายาลักษณ์เข้ามาประกอบ เพราะเป็นคนละเรื่องกับเสื้อเหลืองที่แสดงออกด้วยความจงรักภักดีอย่างแท้จริง” นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย ขอบคุณข้อมูลและภาพ เพจ Peace News