ไทยเสนอ 4 ภารกิจเร่งด่วนขับเคลื่อนอาเซียนฝ่าวิกฤตโควิด-19 "กองทัพบก"สั่ง 19ทหาร กักตัว หลังพบทหารเกาหลีติดโควิด-19 "ศบค."พบอีก 5 ราย ติดเชื้อนำเข้าจาก 5 ประเทศ ด้าน"มองโกเลีย"พบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศรายแรก ขณะที่ไวรัสมรณะยังอาละวาดทั่วโลกไม่หยุด ลามแล้ว 217 ประเทศ เหยื่อติดเชื้อทะยานพุ่ง 52 ล้านคน เมื่อวันที่ 12 พ.ย.63 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยนายกฯ กล่าวแสดงข้อคิดเห็นและเสนอทิศทางขับเคลื่อนกลไกของอาเซียน โดยย้ำถึงความเข้มแข็งและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนจะทำให้ผ่านพ้นวิกฤตใน การรับมือกับการแพร่ระบาดและผลกระทบจากโควิด-19 ได้ พร้อมเสนอ 4 แนวทาง ในการแก้ปัญหา โดย 4 แนวทางที่เสนอคือ 1.การร่วมเสริมสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศอาเซียน สร้างความมั่นคงและพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน โดยไทยได้ร่วมมือด้านการพัฒนาวัคซีนกับภาคส่วนต่างๆ และพร้อมจะแบ่งปันกระจายวัคซีนไปยังประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งยินดีสนับสนุนคลังสำรองอุปกรณ์ทางการแพทย์ และพร้อมเป็นศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ 2.การส่งเสริมแนวทางฟื้นฟูและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น กลุ่ม SMEs เนื่องจากเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาค และสนับสนุนการจัดทำกรอบข้อตกลงระเบียงการเดินทางของอาเซียน 3.เสนอให้อาเซียนควรเตรียมความพร้อมในระยะยาว เพื่อรับความท้าทายใหม่ สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก เชื่อมโยงการทำธุรกรรมทางการค้าดิจิทัลในอาเซียนอย่างครบวงจร และผลักดันการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 4.อาเซียนต้องร่วมมือรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการรับมือกับการแพร่ระบาดและการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 ทุกฝ่ายต้อง "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" เพื่อป้องกันการเผชิญหน้าในภูมิภาคและเพิ่มพูนความร่วมมือที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ด้าน พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้แถลงถึงเหตุการณ์ทหารสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ที่เข้าร่วมการประชุมวางแผนเตรียมการฝึกคอบร้าโกลด์ 21 จ.ระยอง ระหว่างวันที่ 2-6 พ.ย.63 ที่ผ่านมา ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ระหว่างการเดินทางกลับสาธารณรัฐเกาหลีใต้นั้น ในส่วนของกองทัพบกได้จัดกำลังพลร่วมการประชุมจำนวน 19 นาย โดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก (ศบค.ทบ.) ได้แจ้งให้ทุกนายเข้าสู่ขั้นตอนตามมาตรการควบคุมโรคของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 แล้ว โดยทั้ง 19 นาย ได้เข้าสู่กระบวนการตรวจหาเชื้อในครั้งแรกเรียบร้อย ขณะนี้ได้เข้าสู่การกักตัวสังเกตอาการที่บ้านพักในระยะเวลา 14 วัน ตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยทางกรมแพทย์ทหารบก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลค่ายสังกัดกองทัพบกส่วนภูมิภาคจะให้การดูแลดำเนินการสอบสวนโรค เฝ้าสังเกตอาการให้ความรู้ แนะนำวิธีปฏิบัติตน ดูแลป้องกันอย่างเคร่งครัด ให้กับทั้งกำลังพล ครอบครัวและผู้ใกล้ชิด รวมทั้งมีการติดตามรายงานส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างกำลังพลที่กักตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และเท่าทันต่อสถานการณ์ ส่วน ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ได้รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ไทย ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 5 ราย เดินทางมาจากประเทศเยอรมนี 1 ราย สวีเดน 1 ราย อิหร่าน 1 ราย เคนยา 1 ราย และสวิสเซอร์แลนด์ 1 ราย โดยทั้งหมดในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้และเข้ารับการรักษา รวมยอดผู้ป่วยสะสม 3,852 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มยังคงที่อยู่ที่ 60 ราย มีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่มอีก 8 ราย รวมยอดผู้ป่วยรักษาหาย 3,693 ราย และยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีก 99 ราย สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ประเทศสาธารณรัฐมองโกเลีย พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ในประเทศเป็นรายแรก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น โดยกระทรวงสาธารณสุขของมองโกเลีย เปิดเผยว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นสตรีในกรุงอูลานบาตอร์ เมืองหลวงของประเทศ ติดเชื้อจากสามีที่เป็นคนขับรถบรรทุกสินค้าจากรัสเซีย ทั้งนี้ จากการพบผู้ติดเชื้อดังกล่าว ทำให้ทางการของมองโกเลีย ต้องสั่งกักโรคต่อบุคคลใกล้ชิดกับสามีภรรยาคู่นี้ รวมทั้งสิ้น 24 คน ภายหลังจากมีรายงานข่าวดังกล่าวเปิดเผยออกไป สร้างความวิตกกังวลให้แก่บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขโลก เนื่องจากเกรงว่าระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในมองโกเลีย อาจไม่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิดฯ ในประเทศของตนได้ ขณะที่ สถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลุกลามไปแล้ว 217 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นจำนวน 52,441,392 ราย ผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 1,289,75 2 ราย และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายมีจำนวนสะสม 36,677,483 ราย โดยประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยสะสมสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 10,708,630 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 247,397 ราย