นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายกรมสรรพากร ในเรื่องพิจารณาการปฏิรูปโครงสร้างภาษี หลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด โดยจะประสานความร่วมมือผ่านกรมสรรพสามิต และศุลกากร เพื่อให้เอื้อต่อการอำนวยขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากในปัจจุบันธุรกิจประเภทใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะธุรกิจทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การค้าขายสินค้าออนไลน์ การขายบริการบนโลกออนไลน์ เป็นต้น           "การปรับโครงสร้างภาษี จะให้กรมสรรพากร สรรพสามิต และกรมศุลกากร ดูหมดรวมทั้งการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% ต้องศึกษาโครงสร้างภาษีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นใช้มากี่ปี เมื่อประเทศมีการพัฒนา มีการเจริญเติบโต รายได้ในแง่ประเทศก็เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องแข่งขันกับต่างประเทศด้วย ฉะนั้น ต้องศึกษาว่าโครงสร้างภาษีจะต้องเอื้ออำนวยต่อการแข่งขันกับต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มภาษีบางส่วน และลดภาษีบางส่วน"           นอกจากนี้ได้มอบนโยบายการขยายฐานภาษี ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งปัจจุบันมีผู้เสียภาษีเข้ามาอยู่ในระบบเพิ่มขึ้นจากมาตรการต่างๆ ที่สรรพากรดำเนินการ ซึ่งเม็ดเงินจากการจัดเก็บรายได้ส่วนนี้ กรมสรรพากรก็ได้นำมาดำเนินการผ่านนโยบายรัฐ เพื่อพัฒนาประเทศ เช่น โครงการ คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ช้อปดีมีคืน เป็นต้น และให้กรมสรรพากร คืนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ           ทั้งนี้ ยังได้มอบนโยบายให้ดูแลภาษีทางด้านสังคมด้วย เพื่อเป็นสิ่งจูงใจให้กับภาคเอกชน นอกจากการทำธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรก็ยังทำงานทางด้านสังคม หรือ CSR ซึ่งธุรกิจที่มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะให้กรมสรรพากร พิจารณาเรื่องระบบภาษีที่จะเข้าไปช่วยสนับสนุนในส่วนนั้น รวมทั้ง การจัดเก็บรายได้ ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ใช้ระบบ AI มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูล