RTผู้เชี่ยวชาญพิเศษงานรับเหมาก่อสร้างด้านวิศวกรรมโยธาและธรณีเทคนิคอาทิ งานอุโมงค์ โครงสร้างใต้ดิน เขื่อน โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ งานนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินด้วยวิธี Pipe Jacking ปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอ นักลงทุนให้การตอบรับดี เตรียมลงสนามเทรด SET วันที่ 12 พ.ย.นี้ เดินหน้าลงทุนพร้อมเข้ารับงานโครงสร้างพื้นฐานตามแผนธุรกิจ APM เผยหลังระดมทุน ธุรกิจมีศักยภาพเติบโต เคาะราคา 1.92 บาทเหมาะสม นายเสกสรรค์ ธโนปจัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า RT เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)ในวันแรกวันที่ 12 พ.ย.นี้ โดยการเสนอขายหุ้นไอพีโอ วันที่ 3-5 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการตอบรับจากนักลงทุนทั่วประเทศเป็นอย่างดี ทั้งนี้เป็นผลมาจากการโรดโชว์ให้ข้อมูลแนะนำบริษัทกับนักลงทุนรายย่อยใน 14 จังหวัด ประกอบด้วย ระยอง ชลบุรี นครปฐม ราชบุรี พิษณุโลก นครสวรรค์ นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี เชียงใหม่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร ในระหว่างวันที่29 ก.ย.-12 ต.ค.ที่ผ่านมารวมถึงการให้ข้อมูลแก่กองทุนสถาบันในประเทศอีกหลายแห่ง พร้อมทั้งยังให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทหลักทรัพย์อีก 9 แห่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ RT ในอนาคต โดยบริษัทกระจายหุ้นผ่านผู้จัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งหมด 9 แห่ง โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำการจัดหน่าย ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) “ภายหลังการระดมทุน RT จะสามารถสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้น จากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความพร้อมในการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตและโอกาสการรับงานโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจของภาครัฐในหลายโครงการ อาทิ ระบบขนส่งราง งานถนน ระบบบริหารจัดการน้ำในประเทศ อีกทั้ง RT เป็นบริษัทจดทะเบียนที่แตกต่างจากบริษัทจดทะเบียนอื่นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดย RT เป็นผู้รับเหมาที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางในงานรับเหมาก่อสร้างด้านวิศวกรรมโยธาและธรณีเทคนิคที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง” นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนกล่าวว่า หุ้นไอพีโอ RT ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั่วไปทั้งนักลงทุนรายย่อย นิติบุคคล และกองทุนสถาบัน โดยจำนวนเสนอขายจำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.92 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เพียง 9.20 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจและเหมาะสม “มั่นใจว่าหุ้น RT จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วไปในการซื้อขายหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจาก RT เป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้รับเหมามีความชำนาญพิเศษ พิจารณาจากงบการเงินงวด 6 เดือน สิ้นสุด 30 มิ.ย. 2563 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 22.78% คิดเป็น 325 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ 9.47% คิดเป็น 137 ล้านบาท ทั้งนี้ RT เตรียมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 นี้ ในหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า RT” นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT ผู้เชี่ยวชาญพิเศษงานรับเหมาก่อสร้างด้านวิศวกรรมโยธาและธรณีเทคนิค อาทิ งานอุโมงค์ โครงสร้างใต้ดิน เขื่อน โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ งานนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินด้วยวิธี Pipe Jacking กล่าวว่า ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความสนใจจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ทำให้การเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งการระดมทุนจะส่งผลให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ยกระดับในการเข้ารับงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และสร้างการเติบโตได้ตามแผนและกรอบเวลาที่ทางบริษัทได้วางไว้ “การเสนอขายหุ้นไอพีโอกับนักลงทุนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับ RT ที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยภายหลังการระดมทุน บริษัทพร้อมลงทุนเพิ่มเครื่องมือ-เครื่องจักร ระบบคอมพิวเตอร์ และการก่อสร้างโรงซ่อมและอาคารเก็บวัสดุแห่งใหม่ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ ก้าวสู่ความเป็นผู้นำงานรับเหมาก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อขยายโอกาส ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการขยายโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังจากหักสำรองต่างๆ”