ดนตรี / รุ่งฟ้า ลิ้มหัสนัยกุล สารภาพเลยว่าเป็นติ่ง บอง โจวี มาตั้งแต่วัยรุ่น กับอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่าง Slippery When Wet งานชุดที่ 3 ในปี 1986 งานที่เริ่มมีเค้าโครงและทิศทางวงชัดเจน เป็นร็อกหนักกลางๆที่เน้นเมโลดี้สวยๆและติดหู ไม่น่าแปลกใจที่จะถูกใจคนฟังหมู่มาก แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ การที่พวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆที่เพื่อนร่วมอุดมการณ์ “แฮร์แบนด์” หลายต่อหลายวงพากันล้มหายตายจากไปมากแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะซุ่มเสียงป๊อปจัดๆ-จนขาร็อคเข้มๆหลายคนค่อนขอดว่าพวกเขาเป็นวงป็อปมากกว่าวงร็อก อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปรับตัว แม้จะไม่ไหลไปตามกระแสเต็มๆ แต่ก็เกาะเกี่ยวไปได้แบบเนียนๆ อย่างเพลง “It’s My Life” จากอัลบั้ม Crush (2000) ที่ทำร่วมกับ แม็กซ์ มาร์ติน คนที่มีส่วนช่วยปลุกปั้นให้ บริทนีย์ สเปียร์ส และ แบ็คสตรีท บอยส์ โด่งดัง กับเพลง “…Baby One More Time” และ “I Want It That Way” ถือเป็นเพลงที่ทำให้ บอง โจวี กลับฟื้นคืนชีพหลังเงียบหายไปพักตามกระแสแฮร์แบนด์ที่ซาลงไป หลังปี 2000 เป็นต้นมา พวกเขามีอัลบั้มออกมาค่อนข้างต่อเนื่อง เว้นระยะห่างเฉลี่ย 2 ปีเป็นอย่างน้อย ยกเว้น Burning Bridges (2015) และ This House Not For Sale (2016) ที่ทำกันปีชนปี-และเป็นงานสองชุดที่ติ่งอย่างฉันฟังเพียงแค่ครั้งสองครั้งก็ข้ามผ่าน ค่าที่มันไม่มีอะไรเร้าความสนใจให้กลับไปฟังซ้ำ แต่กับ 2020 ผลงานลำดับที่ 15 ที่เพิ่งวางจำหน่ายเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ให้ความรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่าที่โตมาด้วยกัน...ที่ความคิดความอ่านขยับไปตามวัยและประสบการณ์ มากกว่าสนใจแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบหนุ่มสาวที่เคยสร้างชื่อให้ ในอัลบั้ม 2020 ที่การเลื่อนวางจำหน่ายจากเดือนพฤษภาคมเพราะการระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้เราได้ฟังเพลงที่สะท้อนความรู้สึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นช่วงนี้ (“Do What You Can”) รวมทั้งการเคลื่อนไหวของคนผิวดำ Black Lives Matter อันมีที่มาจากการทำเกินกว่าเหตุของตำรวจผิวขาวด้วย (“American Reckoning”) ซึ่งเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่และนำมาใส่ในชุดนี้เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ส่วนเพลงอื่นๆก็มาในทางสะท้อนสังคม-ปลุกปลอบให้กำลังใจ ไม่ว่าจะเป็น “Beautiful Drugs” ที่พูดถึงการเยียวยาปัญหาทุกอย่างด้วย “ความรัก”, “Story of Love” มาในโทนกล่อมเด็ก สีเพลงอุ่นๆว่าด้วยเรื่องราวความรักพื้นฐาน นั่นคือครอบครัว, “Lower the Flag” บัลลาดเนื้อหาหนักเข้มกับเรื่องราวการกราดยิงในที่ต่างๆ ตั้งแต่ในโรงเรียน, สถานดูแลเด็ก ไปจนถึงคอนเสิร์ท ฯลฯ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นว่ามันจะจบลงตรงไหน, “Blood in the Water” เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้อพยพต้องเผชิญ และ “Unbroken” ที่ดูเหมือนจะเป็นการสดุดีวีรบุรุษ แต่ในขณะเดียวกันก็พูดถึงความเจ็บปวดลึกๆที่พวกเขาได้รับจากสงคราม (เพลงนี้เขาแต่งให้กับหนังเรื่อง To Be of Service) นอกจากนั้นก็ยังมีเพลงให้กำลังใจอย่าง “Limitless” และ “Let It Rain” แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกไปบ้าง คือ ฟิล เอ็กซ์ ที่เข้ามาปี 2016 แทน ริชี่ แซมโบรา ในตำแหน่งกีตาร์ที่ขอลาออกไปเมื่อปี 2013 และ ฮิวจ์ แม็คโดนัลด์ เล่นเบสส์ แทน อเล็ก จอห์น ซัช ตั้งแต่ปี 1994 แต่องค์รวมของงานที่ยังมี จอน บอง โจวี เป็นแกนกลาง กับเพื่อนเก่าแก่ที่ล่มหัวจมท้ายกันแต่ต้นอย่าง เดวิด ไบรอัน (คีย์บอร์ด) และ ทิโค ทอร์เรส ก็ยังเป็น บอง โจวี เพิ่มเติมคือความช่ำชอง-เชี่ยวชาญในการจัดการเพลงให้ออกมามีความกลมกล่อม จากป๊อป-ร็อกสนุกๆ มันๆ มีเพลงช้าเอาตายเอาใจแฟนเพลงสายป๊อป กลายเป็นอเมริกัน-ร็อคขนานแท้ ที่บางเพลงมีกลิ่นคันทรีจางๆ และบางเพลงมีกลิ่นโฟล์คเบาๆ มีชีวิตชีวา หลากมิติอารมณ์ความรู้สึก มีเสน่ห์ สอดคล้องกับเนื้อหาเข้มๆที่ต้องการนำเสนอได้ลงตัว...และสมวัย