ความพยายามกรีดเลือดเพื่อขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ของ วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ระหว่างการถ่ายทอดสดการประชุมสมาชิกรัฐสภาในการอภิปรายทั่วไปเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้กับคนไทยทั้งประเทศและทั่วโลก แม้ที่ผ่านมารัฐสภาไทยจะมีเหตุชุลมุนแย่งเก้าอี้ประธานสภาฯ เหตุปะทะคารมกันจนอารมณ์ค้างไปวางมวยกันต่อข้างนอกก็มีให้เห็น แต่ถึงขั้นกรีดเลือดเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกนี้เพิ่งมีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ “ไม่อยากให้เด็กๆ ต้องเลือดตกยางออก...อย่าให้มีอีก 3 แผล เอาไปเลย พล.อ.ประยุทธ์ท่านจะเป็นทรราช หรือเป็นวีรบุรุษ” เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายก่อน “วิสาร” จะถกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นมาปฏิบัติการในสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันมาก่อน ทว่าปฏิกิริยาของ พล.อ.ประยุทธ์จกลับไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ ต่อการประท้วงของ “วิสาร” นอกจากยืนยันที่จะอยู่บริหารประเทศต่อไป โดยให้เหตุผลว่าจะไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพื่อหนีปัญหา ยังสวนกลับอย่างดุเดือด “น่าตกใจเรื่องที่เกิดขึ้น มีนักข่าวแจ้งกับผมก่อนแล้วว่า มีการเตรียมไว้แล้ว ช็อตเด็ด เพื่อจะแพร่ไปเวทีโลก เลือดตกยางออก” กระนั้นเพียงไม่กี่วินาทีที่จรดคมมีดลงไปบนท้องแขน “วิสาร”สามารถชิงพื้นที่ข่าวได้อย่างเบ็ดเสร็จ กลบเนื้อหาสาระในที่ประชุมรัฐสภา และการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่ไม่เหมาะสม ส่งเสริมการใช้ความรุนแรงในการต่อรอง อาจนำไปสู่พฤติกรรมเลียนแบบ ผิดข้อบังคับการประชุมและผิดกฎหมาย โดยเป็นเสียงของส.ส.พรรคพลังประชารัฐระดับตัวกลั่นทั้ง ปารีณา ไกรคุปต์ และสิระ เจนจาคะ ก็ออกมาประณามการกระทำของ “วิสาร” ขณะที่ฟีดแบ็กในโลกโซเชียลก็มีความเห็นทั้งบวกและลบ โดย อุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ที่เข้าไปดูอาการของ “วิสาร”หลังก่อเหตุ ระบุว่า ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า และบอกว่า วิสารมีอาการเครียดและทำท่าจะกรีดข้อมือตัวเองตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกันกับวันที่ม็อบเคลื่อนขบวนไปสถานทูตเยอรมนี ขณะที่ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเองก็ปรารภกับเพื่อนส.ส.ว่าไม่ทราบล่วงหน้าเช่นกัน โดย “สมพงษ์”กับ “วิสาร”นั้นเกี่ยวดองกันในฐานะที่บุตรชายของ “สมพงษ์” แต่งงานกับบุตรสาวของ “วิสาร” กระนั้น จะสังเกตได้ว่า ท่าทีของส.ส.พรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน เหมือนถูก “กระตุ้น”ให้เดือดดาลอย่างมีนัยยะสำคัญ สังเกตได้ ดีกรีการอภิปรายที่บรรยากาศร้อนแรงแทบจะกลายเป็นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าจะเป็น จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ที่เรียกร้องให้ “บิ๊กตู่”รับผิดชอบปัญหาความขัดแย้งแตกแยกและมีการดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยการยุติบทบาท ทางการเมือง หากยังดื้อ ถือทิฐิ อยู่ในตำแหน่งต่อไป วิกฤตการเมืองจะกลายเป็นหายนะของชาติ หรือนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ระบุว่าการปฏิรูปสถาบันอาจเอาเหลือบ ริ้น ยุง ที่แอบอิงเกาะกินสถาบันออกมาให้หมด สถาบันจะมีความสง่างาม ท่าทีของพรรคเพื่อไทยที่ยกระดับเล่นใหญ่ไฟกระพริบเช่นนี้ สร้างความฉงนให้กับบรรดาเซียนการเมืองทั้งหลาย ด้วยก่อนหน้านี้ภาพกราบของ “คุณหญิงอ้อ”พจมาน ดามาพงศ์ ทำให้มีการคาดการณ์ว่าพรรคเพื่อไทย “ตีหมอบ” ทางการเมือง ส่งผลให้แนวร่วมกลุ่มผู้ชุมนุมหดหาย แต่หากพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ ปฏิบัติการเชือดแขนของ “วิสาร” ผนวกกับสัญญาณทางการเมืองก่อนหน้านี้จาก “คนแดนไกล” มีความเกี่ยวโยงกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาพชุดดินเนอร์ร่วมโต๊ะของ 3 อดีตนายกรัฐมนตรีตระกูลชินวัตรอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จากดูไบ ประกอบไปด้วย ทักษิณ ชินวัตร ,ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และตามมาด้วยการข่าวลึก จากหน่วยความมั่นคง ระบุว่า ม็อบ26ตุลา ที่ยกขบวนไปยื่นข้อเรียกร้องต่อสถานทูตเยอรมัน อันมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสถาบันเป็นหลักนั้น ในจังหวะกลุ่มผู้ชุมนุมเลื่อนเวลาออกไป 1 ชั่วโมงนั้น มีการประสานงานกับม็อบจัดตั้งและการ์ดของกลุ่มคนเสื้อแดงมาสมทบ เมื่อเดินขบวนมาถึงสวนลุมพินี มีกลุ่มผู้ชุมนุมมาร่วมเป็นจำนวนมากแล้ว จากนั้นการ์ดเสื้อแดงจึงเข้าสวนลุมพินีเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้านไป ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า “คนแดนไกล” เป็นผู้เขียนบทและกำกับม็อบไร้หัว หน้าสถานทูตเยอรมนี ผ่านน.พ.ทศพร เสรีรักษ์ ที่ลงไปประกบม็อบนักศึกษา ตั้งแต่หลังแกนนำถูกจับกุมตัวไป “รัฐบาลต้องตระหนักว่าการที่มีประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งออกมาแสดงพลังอาจเสี่ยงต่อการเกิดการปะทะ ที่จะนำไปสู่สงครามกลางเมืองแล้วจะบรรลุสิ่งที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะจากฝรั่งเศส ญี่ปุ่น หรือดูไบ ต้องการ อยากฝากให้รัฐบาลระวัง” บางช่วงบางตอน ที่นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายในสภาฯ อีกด้านหนึ่ง ส.ส.สิระแห่งพรรคพลังประชารัฐ ก็ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า คนอยู่เบื้องหลัง ก็รู้กันอยู่ว่ามี “คนตาเหล่สองคนหน้าเหลี่ยมหนึ่ง” ใช้ผู้ชุมนุมเป็นเครื่องมือ ดูจากการไลฟ์สดมายังผู้ชุมนุม และมีการโพสต์ยั่วยุปลุกปั่น แต่ไม่ออกมาร่วมชุมนุมหรือเป็นแกนนำเอง แต่หลอกใช้เด็กและหลอกใช้ประชาชน กระนั้น หากจับสัญญาณเสื้อแดงจำแลงกายเป็นม็อบ 3 นิ้ว ประกอบกับปฏิกิริยา “ดับเครื่องชน” ของส.ส.พรรคเพื่อไทยในการประชุมรัฐสภาแล้ว ก็จะมองเห็นว่าใครอยู่เบื้องหลังได้ไม่ยาก สอดรับกับการข่าวลอยมาตามสายลม เรื่องประกาศิตจากดูไบส่งสัญญาณรบเต็มรูปแบบ “ใครออกแรงมีรางวัล ใครที่ไม่ได้ออกแรง อย่าหวังจะมาขึ้นรางวัล”!! ถอดรหัสนัย “รางวัล” ที่ว่านั้นคืออะไร ว่ากันว่าหมายถึง “เก้าอี้รัฐมนตรี” โดยมองข้ามช็อตไปแล้วว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยพล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่ง พรรคเพื่อไทยจะชิงเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยวางตัวผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรอบนี้จะใช้บริการมือกฎหมาย อย่าง ชัยเกษม นิติสิริ ประธานกรรมการยุทธศาสตร์ ด้านการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมและอำนาจรัฐ ของพรรคเพื่อไทย นี่จึงอาจเป็นคำตอบว่า เหตุใดลูกหาบพรรคเพื่อไทย จึงต้องโหม “เกมแรง”ขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่ใช่เพียงเพื่อช่วงชิงมวลชน ฐานเสียงจากเยาวชนคนรุ่นใหม่เพียงเท่านั้น หากแต่ซับซ้อนและแยบยลกว่า ที่พรรคก้าวไกลจะหยั่งถึงนัก เมื่อหันมาดูฝั่งของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถูกบีบด้วยเกมแรงทั้งในและนอกสภาฯ วันนี้ทางออกเหลือไม่มากนัก นอกจากการเปิดประตูแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องยืนกรานห้ามแตะต้องหมวด 1 ,2 และองค์กรอิสระ แต่จะประคับประคองไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ยังต้องลุ้นกันทุกวินาที เพราะหลังจากนี้ เกมจะโหดขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลพวงหลัง “กรีดเลือดโมเดลเอฟเฟกต์” ที่เซอร์ไพรส์อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา