ประเทศ เหมือนกำลังจะมาถึงทางตัน เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยัน ที่จะไม่ลาออก ตามข้อเรียกร้องของ ผู้ชุมนุมคณะราษฎร โดยอ้างว่า ต้องการสร้างบรรทัดฐาน ให้กับรัฐบาลต่อๆไป แถมทั้ง ภารกิจยังไม่จบ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พี่ใหญ่ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า จะสู้ จนกว่าจะทำให้ได้ และจะอยู่ให้ครบวาระ 4 ปี แม้จะมีภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี กับเวลา ในสมัยแรกที่เหลืออยู่ อีกราว 2 ปีกว่า ที่จะทำให้เกิดความสงบ เหมือนตอนที่หาเสียง ของพรรคพลังประชารัฐ ว่า “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” แต่ภารกิจสำคัญที่สุดคือ การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องทำให้สถาบันคงอยู่คู่ประเทศไทย ตลอดไป โดยเฉพาะ เมื่อมีความเคลื่อนไหว ในการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน ภายใต้ข้อเสนอ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และ การหมิ่นสถาบัน ในการชุมนุม ด้วยขัอความ และคำพูด ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดถือภารกิจนี้เป็นสำคัญ ในฐานะ นายทหารเสือราชินี ที่ถวายอารักขา ใกล้ชิด ในหลวง รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มาตั้งแต่เป็นนายทหารเสือฯหนุ่ม ร.21 รอ. จึงตัองทำหน้าที่ในการปกป้องสถาบัน จนมาถึงในรัชกาลปัจจุบัน ขณะที่ ผู้ชุมนุม ประกาศที่จะยกระดับการชุมนุม เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทำตามข้อเรียกร้อง ที่เชื่อกันว่า อาจจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง และ การจลาจล และถูกคาดการณ์ จากทั้งฝ่ายนักการเมือง และผู้ชุมนุม ว่า อาจจะเกิดการรัฐประหาร ขึ้น จนฝ่ายผู้ชุมนุม ประกาศต่อต้าน แม้จะเกิดข่าวลือ เรื่องความเคลื่อนไหวของ ผบ.เหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตแก้วแท้ ผบ.ทบ. แต่ทว่า ทีมโฆษกกองทัพบก ก็ไม่ได้ออกมาชี้แจง หรือตอบโต้ใดๆ ที่ก็ยิ่งทำให้ข่าวลือการปฏิวัติสะพัด อีกทั้ง ก่อนหน้านี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้ประกาศไว้ว่า “ในหัวผมไม่มีอะไร มี 4 อย่าง คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และผมจะทำทุกอย่าง เพิ่อรักษาทั้ง 4 สถาบันนี้ ให้ได้” ที่เป็นการสะท้อนว่า ไม่ได้ปิดประตูการรัฐประหาร แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ที่เพิ่มมากขึ้น ที่ทำให้ โอกาสรัฐประหาร ที่เคยเป็น ศูนย์ เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งตอนนี้ ได้มีโปรดเกล้าฯให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เป็น ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) แทน "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. ซึ่งขณะนี้ไปรับหน้าที่ รองเลขาธิการพระราชวัง ที่จะคุม นายทหารคอแดง ที่เป็นหน่วยคุมกำลัง ที่เคยเป็นขุมกำลังปฏิวัติเดิม นอกเหนือจากที่คุมกำลัง ทบ. เหล่าทัพใหญ่ที่สุด ก็ยิ่งทำให้ถูกจับตามอง โดยเฉพาะ การชุมนุมที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง และส่อเค้าจะยกระดับความรุนแรง และ ประเด็นการหมิ่นสถาบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ขบวนเสด็จฯของ สมเด็จพระราชินี ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 14 ต.ค.2563 ที่เคยเป็นเหตุผลสำคัญที่ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงฯ เมื่อตี 4 ของวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา และ สั่งตำรวจดำเนินคดี กับผู้ที่ประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี และความเคลื่อนไหวของขบวนการหมิ่นสถาบัน ที่หนักข้อขึ้น อย่างมาก และไม่มีทางออก แม้ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า จะสนันสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แม้แต่ การแก้ไขอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ ก็ไม่ขัดข้อง และเตรียมเสนอร่างกฎหมายประชามติเข้าสภาในสัปดาห์หน้า รวมทั้ง หนุนการ ตั้งคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์ หลายฝ่าย ที่เป็นข้อเสนอจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญเมื่อ 26 -27 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ถูกมองว่าเป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อยื้อเวลาไปเท่านั้น และ การแก้รัฐธรรมนูญ ก็ใช่ว่า จะผ่านได้ง่ายๆ เมื่อมีแต่ทางตัน ไม่มีทางออก เพราะ ทางออก อยู่ที่ ตัว พล.อ.ประยุทธ์ แต่ เมื่อ เจ้าตัว ปิดทางออก โดยไม่ยอมลาออก และไม่ยุบสภา จึงทำให้กระแสข่าวรัฐประหาร สะพัดแรงยิ่งขึ้น เพราะหลายฝ่าย เชื่อว่า เมื่อไม่มีทางออกอื่น ก็อาจจะจบที่ การปฏิวัติรัฐประหาร! ทำให้ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ ชุดนี้ เพิ่งขึ้นมาอยู่ในอำนาจ แค่ 1 เดือนเท่านั้น ถูกจับตามอง ภายใต้การนำของ “บิ๊กแก้ว” พล.อ. เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่ ล้วนเป็น นายทหารคอแดง แถมทั้ง ตอนนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ลาสิกขา กลับมาทำหน้าที่ รองเลขาธิการพระราชวังแล้ว เป็นที่รู้กันว่า พล.อ. เฉลิมพล และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เป็นนัองรักของพล.อ.อภิรัชต์ ที่พร้อมล่มหัวจมท้าย และมีจุดยืนปกป้องสถาบันอย่างเข้มแข็ง เช่นกัน แม้ว่า การรัฐประหารจะเสี่ยง นองเลือด แต่ขึ้นอยู่กับการวางแผน และสถานการณ์ แม้จะไม่รู้ว่า หาก รัฐประหาร แล้วจะจบอย่างไร