คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ศึกชิงบัลลังก์ทำเนียบขาวระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กับ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ยังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียง 4 วัน โดยคนอเมริกันต่างมีความกระตือรืนร้นกระหายต้องการที่จะทราบผลการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์และอดีตรองประธานาธิบดีไบเดนต่างก็ทุ่มเม็ดเงินมากมายมหาศาลใช้ทั้งโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณด้านความสามารถของตนเองและใช้ทั้งสาดโคลนดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามกันอย่างเข้มข้น สำหรับค่ายของประธานาธิบดีทรัมป์ ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2020 นี้ได้รับเงินบริจาคไปแล้วทั้งสิ้น 1.57 พันล้านเหรียญ และมีเงินสดอยู่ 117 ล้านเหรียญ สำหรับในค่ายของโจ ไบเดน ณ วันที่ 22 ตุลาคมนี้เช่นกัน เขาได้รับเงินบริจาคทั้งสิ้น 1.51 พันล้านเหรียญ และมีเงินสดอยู่ 239 ล้านเหรียญ (จาก National Public Radio วันที่ 22 ตุลาคม 2020) นับเป็นการแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีที่มียอดเม็ดเงินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯเลยทีเดียว!!! และถึงแม้ว่าขณะนี้โจ ไบเดน จะมียอดเงินสดมากกว่าทีมของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ก็ยังไม่มีหลักประกันใดๆออกมายืนยันนั่งยันได้เลยว่า เขาจะชนะการเลือกตั้งสามารถเดินเข้าสู่ทำเนียบขาว ดั่งจะเห็นจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ที่ฮิลลารี คลินตัน ก็ทุ่มเม็ดเงินโปรยหว่านไปมากกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงสองเท่าตัวเช่นกัน แต่กลับต้องพบกับความพ่ายแพ้ในที่สุด อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แต่ละฝ่ายต่างมุ่งตรงไปที่คะแนนอิเล็กโทรัล(Electoral Votes) ที่ผู้ต้องการชนะจะต้องได้รับอย่างน้อย 270 คะแนน จากคะแนนที่มีทั้งหมด 538 คะแนน เพราะคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตจะเป็นตัวชี้ขาด มิใช่คะแนนป๊อปปูลาร์โหวต (Popular Votes) และการที่โจ ไบเดนกำลังมีคะแนนนิยมนำเหนือประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ค่อนข้างสูง ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าในการแข่งขันครั้งนี้เขาคงจะชนะคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตเหมือนกับฮิลลารี คลินตัน ทั้งนี้คะแนนอิเล็กโทรัลโหวตซึ่งมีทั้งหมด 538 คะแนน โดยมาจากจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ 435 คน บวกด้วยคะแนนของเมืองหลวงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อีก 3 คะแนน ที่จะต้องนำไปบวกรวมกับจำนวนวุฒิสมาชิกอีก 100 เสียง!!! ทั้งนี้กฎของการนับคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตหมายถึง นับคะแนนจากผู้ที่ได้รับชัยชนะในแต่ละรัฐ หรือที่เรียกกันว่า “Winner takes all” รัฐฟลอริดา ซึ่งมีคะแนนอิเล็กโทรัล 29 เสียง ก็เป็นรัฐที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะแพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะถ้าหากเขาเกิดแพ้คะแนนอิเล็กโทรัลในรัฐฟลอริดานี้แล้วละก็ ความหวังที่จะไปถึงเส้นชัยก็แสนจะยากลำบากเต็มที ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของสำนักหยั่งเสียง “270toWin” เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่เพิ่งผ่านมานี้ ได้ทำการวิเคราะห์ออกมาว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะได้คะแนนรวมของคะแนนอิเล็กโทรัลเพียงแค่ 182 คะแนน แต่ฝ่ายโจ ไบเดนคู่แข่งจะมีคะแนนอิเล็กโทรัลถึง 356 คะแนน อนึ่งคะแนนอิเล็กโทรัลที่ผมนำมาแสดงข้างบนนี้ มิได้คงที่แต่อย่างใดยังคงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับคะแนนนิยมของทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และโจ ไบเดนที่เปลี่ยนแปลงไปได้แบบวันต่อวัน!!! ทั้งนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าสื่อหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในสหรัฐฯมิได้ประกาศสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์เลย ยกเว้นแต่เพียงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น “Las Vegas Review” ซึ่งเจ้าของเป็นเพื่อนของประธานาธิบดีทรัมป์ และยังเป็นเจ้าของบ่อนกาสิโนด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเมื่อวันอังคารนี้ได้มีการรับรองให้ “เอ็มมี แบร์เรตต์”เข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ด้วยคะแนนเสียง 52 ต่อ 48 คะแนน โดยมีเพียงวุฒิสมาชิกซูซาน โคลลินส์ของพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย ทั้งนี้การที่เอมมี แบร์เรตต์ เข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาคนใหม่เท่ากับว่าเป็นชัยชนะของประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งยิ่งใหญ่ โดยขณะนี้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมในศาลสูงสุดที่อิงกับพรรครีพับลิกันมีเพิ่มขึ้นเป็น 6 คน แต่ฝ่ายหัวก้าวหน้าซึ่งเป็นฝ่ายของพรรคเดโมแครตมีเพียง 3 คน ถือเป็น 6 ต่อ 3 ฉะนั้นหากเกิดมีกรณีพิพาทในการนับคะแนนการเลือกตั้งที่จะต้องมีการตัดสินในศาลสูงสุดขึ้นมาละก็ โอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะได้เป็นประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัยก็มีความเป็นไปได้สูง เหมือนดั่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2000 ที่ครั้งนั้นมีข้อพิพาทในการนับคะแนนที่รัฐฟลอริดา 537 เสียงระหว่างจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และ รองประธานาธิบดีอัล กอร์ โดยศาลสูงสุดตัดสินให้จอร์จ ดับเบิลยู.บุช เป็นฝ่ายชนะ ด้วยเสียงของผู้พิพากษาศาลสูงสุด 5 ต่อ 4 ที่ครั้งนั้นการพิจารณาของศาลสูงสุดนานถึง 36 วัน!!! และเมื่อหันไปพูดเกี่ยวกับงบประมาณด้านการเยียวยาให้แก่คนอเมริกันที่กำลังประสบปัญหาวิกฤติเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่พวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาลอยคอรอคอย โดยขณะนี้ภาครัฐมีการเจรจากันระหว่าง “รัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน” และ “แนนซี เพโลซี” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการเจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องของเกมส์การเมืองที่ทั้งสองฝ่ายต่างประวิงเวลารอท่าทีติดต่อกันมาอย่างยาวนานกว่าหกเดือนแล้ว โดยประธานาธิบดีทรัมป์ก็กำลังรอจังหวะที่จะเซ็นต์อนุมัติ และหากว่าเขาสามารถเซ็นอนุมัติเงินช่วยเหลือคนอเมริกันได้ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขาก็จะได้รับคะแนนนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งอาจจะทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์พุ่งสูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากเป็นดั่งที่พูดกันมาข้างต้นแล้วก็จะเป็นผลดีต่อประธานาธิบดีทรัมป์อย่างมากมาย อนึ่งยังมีอีกกรณีที่สามารถจะทำให้สถานะการณ์เป็นรองของประธานาธิบดีทรัมป์พลิกฟื้นขึ้นมาได้ หากว่าวันเลือกตั้งบรรดาผู้ที่นิยมชมชอบพรรครีพับลิกันพากันแห่ออกไปลงคะแนนมากกว่าฐานเสียงของพรรคเดโมแครต โดยอย่าลืมว่าที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าฐานเสียงทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์มีความตื่นเต้นกระตือรือร้นในการสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ในทางกลับกันฐานเสียงของพรรคเดโมแครตดูๆไปแล้วเฉื่อยๆไม่ค่อยตื่นเต้นต่อโจ ไบเดนมากเท่าใดนัก และยังเป็นที่น่าสังเกตเช่นกันว่ารัสเซียอาจจะเข้าไปช่วยเอื้ออำนวยให้ประธานาธิบดีทรัมป์อีกครั้งก็ได้ โดยเมื่อวันที่ 17 กันยายนนี้ “คริสโตเฟอร์ เรย์” ผู้อำนวยการหน่วยเอฟบีไอ ซึ่งเป็นผู้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้งขึ้นมา ได้ออกไปให้การต่อคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงของสภาผู้แทนฯสหรัฐฯ โดยเขาได้ชี้ว่า “จากข้อมูลของหน่วยข่าวกรองทุกๆหน่วยงานของสหรัฐฯ ต่างก็มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า รัสเซียกำลังเข้าแทรกการเลือกตั้งในปี 2020” และล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมนี้ก็มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่า ประธานาธิบดีทรัมป์และคณะที่ปรึกษาของเขากำลังคิดที่จะปลดคริสโตเฟอร์ เรย์ ออกจากตำแหน่งอีกด้วย!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการเมืองเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนมีเรื่องให้เซอร์ไพรส์แถมยังไม่อยู่นิ่งปรับเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา โดยขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีทรัมป์ หรืออดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ทั้งคู่ต่างก็กำลังออกวิ่งรอกเดินทางไปหาเสียงวันละหลายๆรัฐไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เพื่อต้องการที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่ใฝ่ฝันในโค้งสุดท้ายอีกไม่กี่วันนี้ ส่วนใครจะก้าวขาเข้าถึงเส้นชัยก่อน ก็เป็นเรื่องที่ทุกๆฝ่ายกำลังจับตามองแบบไม่กระพริบกันอยู่ละครับ