ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย มันไม่ใช่หายนะจากสงครามอันเกิดจากความขัดแย้งของสองขั้วอำนาจในโลก มันไม่ใช่ความขัดแย้งในเรื่องศาสนา ไม่ใช่ความขัดแย้งและความท้าทายเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากช่องว่างระหว่างวัย ช่องว่างระหว่างความยากจนไม่ใช่ความขัดแย้งที่เกิดจากความเชื่อ และก็ไม่ใช่ความขัดแย้งที่เหล่าสตรีออกมาเรียกร้องสิทธิของเหล่ากลุ่มเบี่ยงเบนทางเพศที่เติบโตขึ้นทุกวัน สุดท้ายหายนะของโลกคงยังไม่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แต่หายนะของโลกกำลังดำเนินต่อไปในอัตราเร่ง จากการเปลี่ยนแปลงสภาถพแวดล้อม ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าการกระทำโดยตรงจากมนุษย์ แต่มันเป็นการตอบสนองจากธรรมชาติต่อการกระทำย่ำยีของมนุษย์ จนทำให้ธรรมชาติวิปริตแปรปรวน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ การตื่นขึ้นของยักษ์หลับในขั้วโลกเหนือ ซึ่งเรื่องนี้ได้เคยมีการเตือนมาหลายสิบปีแล้ว นั่นคือก้อนน้ำแข็งทั้งขั้วโลกเหนือและใต้นั้นได้กักเก็บก๊าซมีเทนไว้จำนวนมากมายมหาศาล และก๊าซนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก นอกเหนือจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ที่น่ากังวลมากเพราะก๊าซที่ถูกกักเก็บภายใต้น้ำแข็งนี้มันมีจำนวนมากมายมหาศาล หลายพันเท่าของจำนวนก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ก่อขึ้น นักวิทยาศาสตร์พบว่าในขณะนี้ก๊าซมีเทนกำลังถูกปล่อยออกมาจากการละลายของน้ำแข็งเป็นบริเวณกว้าง ตามไหล่ทวีปด้านตะวันออกของไซบีเรีย ในเขตขั้วโลกเหนือ มีการสำรวจพบก๊าซที่จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก คือ มีเทนนี้อยู่ลึกลงไป 350 เมตร ใน Laptev sea ใกล้รัสเซีย ปรากฏการณ์นี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าปฏิกิริยาเรือนกระจกจะขยายตัวและเร่งให้ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงอีกหลายเท่าจากที่เคยพยากรณ์ไว้ เฉพาะที่พื้นที่ลาดไหล่ทวีปนี้ ประกอบด้วยก๊าซมีเทนและก๊าซอื่นๆที่เรียกว่า Hydrates ซึ่งเคยถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง แต่เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย ก๊าซนี้ก็จะถูกปลดปล่อยออกมา ด้วยปริมาณมหาศาลที่น้ำแข็งสะสมไว้นับเวลายาวนาน อนึ่งก๊าซมีเทนนี้มีปฏิกิริยาให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนถึง 80 เท่า ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การสำรวจสภาพภูมิศาสตร์ของหน่วยงานในสหรัฐฯระบุว่า Arctic Hyrates เป็นหนึ่งในสีของก๊าซอันตรายที่จะมีผลต่อภาวะโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์ทีมนานาชาติได้ทำการสำรวจทางเรือจากรัสเซีย และพบว่ามีฟองก๊าซผุดขึ้นมาจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะละลายไปกับน้ำทะเล แต่ระดับมีเทนที่พื้นผิวน้ำก็เพิ่มขึ้น 4-8 เท่า และก๊าซเหล่านี้ก็จะระเหยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ อันทำให้ความหนาแน่นและพื้นที่ขยายออกไปอีกมาก ซึ่งนั่นจะทำให้ภาวะโลกร้อนยิ่งรุนแรงขึ้น แม้ว่าจะยังไม่เกิดปฏิกิริยาอย่างทันทีทันใดในขณะนี้ แต่มันจะเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่และมีอัตราเร่งที่ไม่อาจจะคาดคะเนได้ โดยนักวิทยาศาสตร์บางท่านได้กล่าวว่านี่เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น และจะมีผลสรุปก็ต่อเมื่อได้นำข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ในภายหลัง อย่างไรก็ตามในขณะนี้อุณหภูมิในเขตขั้วโลกเหนือนั้นได้เพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อเทียบกับอุณหภูมิเฉลี่ย ประเด็นคือเมื่อไรมันจึงจะแผลงฤทธิ์ แต่บอกได้ว่ากระบวนการนี้ได้เริ่มแล้ว โดยยังไม่อาจหยุดยั้งหรือแก้ไขอะไรได้ ในบริเวณพื้นที่หนึ่งของการสำรวจที่ Laptev sea เขตไหล่ทวีปในความลึก 300 เมตร นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีปริมาณมีเทนจำนวนถึง 1,600 นาโนโมลส์ต่อลิตร ซึ่งมากเป็น 400 เท่าในระดับปกติและตอกย้ำว่าการค้นพบนี้มีปริมาณของมีเทนมากอย่างมีนัยสำคัญ ทว่าปฏิกิริยาที่จะเกิดต่อโลกยังคงต้องศึกษาถึงผลกระทบของการระเหยมีเทนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศกับภาวะโลกร้อน เพราะนี่เป็นการค้นพบครั้งแรกถึงความร้ายแรงของการที่น้ำแข็งละลายและปล่อยก๊าซมีเทนจำนวนมาก แม้จะมีการเตือนล่วงหน้ามาหลายสิบปีแล้ว อนึ่งปฏิกิริยาที่น้ำแข็งละลายที่ขั้วโลกเหนือนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามาจากการถ่ายเทความร้อนจากมหาสมุทรแอตแลนติกที่อุ่นขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ที่ปลดปล่อยคาร์บอน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมทั้งขั้วโลกเหนือไซบีเรีย และขั้วโลกใต้ กรีนแลนด์ที่กำลังละลายอย่างรวดเร็วก็มีส่วนเพิ่มปริมาณก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศอีกด้วย อุณหภูมิในไซบีเรียเพิ่มขึ้น 5°C จากค่าเฉลี่ยตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายนปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่มนุษย์เป็นต้นเหตุปล่อยคาร์บอนถึง 600 เท่า และในปีที่แล้วพบว่าน้ำทะเลละลายเร็วกว่าปกติ และฤดูหนาวปีนี้ก็ยังไม่แข็งตัว ทั้งๆที่ย่างเข้าปลายเดือนตุลาคมแล้ว เมื่อพิจารณาถึงข้อมูลดังกล่าวแล้วก็อาจสร้างภาพทัศน์เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อนจนถึงผลกระทบต่อมนุษย์ที่จะรุนแรงมากขึ้นดังนี้ การเกิดภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งละลายมากขึ้น จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในโลกฤดูกาลจะแปรปรวน ซึ่งก็เกิดมาแล้วจนกลายเป็นเหมือนปกติ ทั้งนี้เพราะปริมาณน้ำแข็งที่ละลายลงสู่มหาสมุทรจะทำให้ความเข้มข้นของน้ำทะเลเจือจางลง อันจะมีผลต่อการไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่น และน้ำเย็น จึงนำไปสู่อิทธิพลของกระแสน้ำที่มีต่อลมฟ้าอากาศ ทำให้เกิดพายุลูกใหญ่ขึ้น มีอำนาจทำลายล้างมากขึ้น ฤดูกาลแปรปรวนบางพื้นที่ฝนตก น้ำท่วมในขณะที่อีกบางพื้นที่แห้งแล้ง ในบริเวณไม่ห่างกันนัก การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลจะเกิดผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรมในพื้นที่กว้าง พื้นที่ๆเคยมีอากาศร้อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหนาวเย็น และกลับกันพื้นที่หนาวเย็นจะเปลี่ยนเป็นร้อน เกิดโรคระบาดใหม่ๆถี่ขึ้นจนการแพทย์ปรับตัวไม่ทัน หลายพื้นที่ที่อยู่ติดทะเลและมีความสูงใกล้หรือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในระดับปกติจะเกิดน้ำท่วมขังจนไม่อาจอยู่อาศัยได้ตามปกติ ซึ่งแต่เดิมจะเกิดตามฤดูกาล ทั้งนี้เพราะระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นโดยจะเริ่มจาก 1 เมตรในช่วงต้นๆ และจะเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปี นักวิทยาศาสตร์บางท่านพยากรณ์ว่าจะเพิ่มสูงถึง 10 เมตร หลัง 20 ปีแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ามันอาจมาเร็วกว่าที่พยากรณ์ไว้ เพราะการค้นพบว่าก๊าซมีเทนถูกปล่อยออกมาจำนวนมากมายมหาศาลจากการละลายของน้ำแข็ง อันเกิดจากภาวะเรือนกระจกที่มนุษย์เป็นคนจุดชนวน แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่สำเหนียกถึงกับอันตรายนี้ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเข่นฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์ เพื่อสนองตัณหาหรือสนองความงมงายของตน ก่อให้เกิดความเสียหายบนหน้าแผ่นดินและพื้นน้ำ หลายคนอาจสำเหนียกถึงภัยนี้ แต่ก็มักจะนึกว่ายังอีกนาน นั่นคือมนุษย์ที่ตั้งตนอยู่บนความประมาท กระนั้นก็ตามบทความนี้มิได้มุ่งจะมาสร้างความตื่นตะหนัก ความกังวล จนเกิดจริตวิตก บทความนี้เพียงเพื่อเตือนสติมนุษย์ว่าอย่าประมาท และช่วยกันรักษ์โลก รักษ์มนุษย์ ด้วยความรักความเมตตา อันเป็นการยกระดับจิตใจของตนเอง ในขณะที่สังขารก็เสื่อมโทรมไปทุกวัน มีลาภเสื่อมลาภ มียศถาบรรดาศักดิ์ก็เสื่อมได้ มันเป็นของชั่วคราวที่ทำให้เราเกิดมายาคติ ลืมตาตื่นได้แล้วพี่น้อง ทุกอย่างมันต้องเปลี่ยนแปลงครับ