นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กกพ.ได้ติดตามเหตุท่อก๊าซธรรมชาติ รั่ว และเกิดระเบิดที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการอย่างใกล้ชิดซึ่งในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลกิจการพลังงานกำลังพิจรณาว่าจะออกระเบียบกฏเกณฑ์เพิ่มเติมอย่างไรในการแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าวอีก ซึ่งยอมรับว่าท่อก๊าซฯดังกล่าวเป็นท่อเส้นที่ 2 ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2539 และพบว่าสภาพแวดล้อมใกล้ท่อก๊าซฯแต่ละเส้นเปลี่ยนไปมากจากอดีต มีชุมชน ถนน เกิดใกล้แนวท่อฯมากขึ้นจึงต้องวางเกณฑ์ในการกำหนดความปลอดภัยเพิ่มเติม โดยท่อก๊าซฯ ปตท.มีมาตรฐานสูงเป็นมาตรฐานระดับโลก มีการเตือนเรื่องบุคคลภายนอกเข้าไปใช้พื้นที่ใกล้เคียงต้องแจ้งขออนุญาต แต่ที่ผ่านมามีอุบัติเหตุจากการไม่ระมัดระวังของบุคคลภายนอก แต่ทั้งนี้สาเหตุของการรั่วนั้นต้องรอผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ซึ่ง บมจ.ปตท.ได้ส่งชิ้นส่วนท่อก๊าซที่ฉีกขาดไปตรวจสอบ โดยระบบก๊าซของไทยใช้ยาวนานมาเกือบ 40 ปีตั้งแต่ประเทศไทยพบก๊าซธรรมชาติเริ่มใช้ปี 2524 ท่อก๊าซหลักบนบกความยาวประมาณ 2,641 กิโลเมตร เส้นที่เกิดอุบัติเหตุเป็นเส้นที่ 2 ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2539 ทั้งนี้สภาพแวดล้อมในพื้นที่ท่อก๊าซพาดผ่าน เปลี่ยนไปจากอดีตมากในแต่ละพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมา แม้ท่อก๊าซ ปตท.มีมาตรฐานดูแลที่สูง แต่ที่ผ่านมามีอุบัติเหตุจากการไม่ระมัดระวังของบุคคลภายนอก ประกอบกับสภาพแวดล้อม เปลี่ยนแปลงไปแยอะมาก ดังนั้นสำนักงาน กกพ.ต้องมาดูว่าจะออกระเบียบอะไรเข้ามาดูแลเพิ่มเติม ส่วนสาหตุอุบัติภัยที่ อ.บางบ่อ ครั้งนี้ต้องรอผู้เชี่ยวชาญสรุปสาเหตุ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การบริหารจัดการพลังงานของไทยนั้นมีการวางแผนที่พร้อม มีท่อก๊าซฯหลายเส้นเป็น LOOP ต่อเชื่อมกัน เช่นเดียวกับสายไฟฟ้า ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติภัยจะกระทบผู้ใช้ก๊าซฯเพียงช่วงแรกเล็กน้อยเท่านั้น และสามารถบริหารจัดการส่งก๊าซฯ สับสายส่งไฟฟ้าทดแทนรวดเร็ว ไม่กระทบผู้บริโภค