ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ด้วยความระทึกขวัญในตลาดแรงงานกันถ้วนหน้า สำหรับ การมาของ “หุ่นยนต์” หรือ “โรบอต” โดยเฉพาะ “หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์” หรือที่เรียกกันสั้นๆ จนติดปากว่า “เอไอโรบอต (Artificial Intelligence Robot)” อันเป็นผลงานการประดิษฐ์และพัฒนาโดยมนุษย์เรา ด้วยเทคโนโลยีที่วิวัฒนาการมาอย่างสุดล้ำ และมีแนวโน้มว่า หุ่นยนต์ที่ว่าก็มีทีท่าว่าจะพัฒนาศักยภาพ ความสามารถให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาไปอย่างล้ำเหลือในลักษณะคู่ขนานกันไปด้วย โดยหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ข้างต้น ก็ถูกระดมไปในภาคส่วนต่างๆ ในสารพัดกิจกรรมของมนุษย์เรา ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่า ดี เห็นดี เห็นงาม ด้วย แต่ปรากฏว่า ในกิจกรรมของตลาดแรงงานทั้งหลาย ต่างพากันวิตกกังวลต่อชะตากรรมของพวกเขาว่า อาจจะกลายสถานภาพเป็น “คนเตะฝุ่น” คือ “ตกงาน” อันสืบเนื่องจากการมาของกองทัพหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ ล่าสุด ทาง “สภาเศรษฐกิจโลก” หรือ “เวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม” หรือ “ดับเบิลยูอีเอฟ” (WEF : World Economic Forum) อันมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่ อยู่ในย่านโคโลจ์นี นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ออกรายงานฉบับล่าสุด ด้วยการจั่วหัวใช้ถ้อยคำอันน่าสุดสะพรึงว่า “หุ่นยนต์ปฏิวัติ (Robot Revolution)” ซึ่งการปฏิวัติที่ว่านั้น ก็คือ การปฏิวัติต่อตลาดแรงงานที่กำลังเป็นไปและจะเป็นไปอย่างรุนแรงทั่วโลก นั่นเอง รายงานของ “ดับเบิลยูอีเอฟ” ระบุว่า ถึงแม้การปฏิวัติการทำงานจากหุ่นยนต์ จะช่วยสร้างงานได้ถึง 97 ล้านตำแหน่งทั่วโลกได้ก็จริง แต่ทว่า ในขณะเดียวกัน เจ้าหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ ก็ทำให้คนตกงานได้อย่างมหาศาลปานๆ กันด้วยเช่นกัน พร้อมกับประเมินสถานการณ์การจ้างงานในอีก 5 ปีข้างหน้าด้วยว่า ในปี 2568 จะมีคนเตะฝุ่น เพราะตกงาน จำนวนมากถึง 85 ล้านคน ทั้งนี้ การประเมินข้างต้น ก็เรียกได้ว่า เป็นการปรับประมาณการ จากเดิมที่เคยประเมินไว้เมื่อช่วง มิ.ย. 2019 (พ.ศ. 2562) ว่า หุ่นยนต์จะทำให้คนตกงานจำนวน 20 ล้านคนในปี 2030 (พ.ศ. 2573) หรืออีกราว 10 – 11 ปีข้างหน้า นับตั้งแต่ช่วงเวลาการประเมิน ณ วินาทีนั้น ซึ่งเป็นการประเมินที่ร่นระยะเวลาให้เร็วเข้ามา คือ ปี 2568 และจำนวนคนตกงานที่มากขึ้นกว่าเดิม คือ 85 ล้านคน โดยจำนวนคนตกงานขนาดนั้น ทาง “ดับเบิลยูอีเอฟ” ยังระบุด้วยว่า เท่ากับร้อยละ 50 หรือครึ่งหนึ่ง ของจำนวนแรงงานทั้งหมดที่จะต้องตกงานในอีก 5 ปีข้างหน้ากันเลยทีเดียว “สภาเศรษฐกิจโลก” เปิดเผยถึงเหตุผลที่ทำให้การประเมินครั้งใหม่หนล่าสุด ออกมาในลักษณะดังกล่าว ก็มีเหตุปัจจัยมาจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ที่กำลังลุกลามไปในพื้นที่ต่างๆ กว่า 200 ประเทศ ณ เวลานี้ นั่นเอง ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยตัวเร่งปฏิกริยาให้หุ่นยนต์เข้ามาเป็นแรงงาน ในสถานประกอบการต่างๆ แทนที่แรงงานมนุษย์ ให้เร็วขึ้น นั่นเอง พร้อมกันนี้ รายงานของ “ดับเบิลยูอีเอฟ” ยังระบุถึงชื่ออาชีพสายงาน ที่จะถูกหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาเบียดขับจนกระเด็นพ้นเส้นทางสายอาชีพของพวกเขาไป ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยแบ่งเป็นกลุ่มงาน 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มงานป้อนข้อมูล งานบัญชี และงานธุรการ ก่อนจำแนกแยกย่อยออกไป ได้แก่ งานเกี่ยวกับจดรายชื่อสต็อกสินค้าภายในคลังสินค้า งานเลขานุการทั้งในแบบภายในออฟฟิศ และติดตามผู้บริหาร พนักงานเสมียนบัญชีต่างๆ พนักงานโรงงาน พนักงานฝ่ายบริการ ช่างกล ตลอดจนช่างซ่อมเครื่องจักรกลต่างๆ เป็นต้น ส่วนงานอาชีพที่ยังอยู่รอดได้ และอาจจะได้รับความนิยมในอีก 5 ปีข้างหน้าเช่นเดียวกันนั้น หลักๆ ก็จะเป็นงานเกี่ยวกับดิจิทัลทั้งหลาย เช่น การตลาดดิจิทัล งานด้านระบบอัตโนมัติทั้งหลาย งานวิเคราะห์ข้อมูลด้านความปลอดภัยทางข้อมูล นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน รวมไปถึงนักประดิษฐ์พัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ อันเป็นสมองกลสำหรับหุ่นยนต์ให้เกิดประสิทธิภาพด้านต่างๆ