สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะต่อกรณีการชุมนุมประท้วงในประเทศไทย ณ เวลานี้ว่า เสมือนหนึ่งเป็นสมรภูมิใหม่ของเกมการชิงอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ กับจีนแผ่นดินใหญ่ ในภูมิภาคเอเชีย โดยเหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า การชุมนุมประท้วงในไทย เช่น ที่กรุงเทพมหานคร แม้เป็นการชุมนุมโดยไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีแกนนำ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อทำให้เกิดระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และทำให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชน คล้ายกับการชุมนุมประท้วงในฮ่องกงที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า กลุ่มคนและองค์กรต่างๆ ที่มาเข้าร่วมชุมนุมประท้วงนั้น เช่น นักวิชาการ นักกฎหมาย ที่เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสหรัฐฯ รวมถึงผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมฯ หลายคนก็มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับสถานทูตสหรัฐฯ ในไทย และพวกนักการเมืองสหรัฐฯ ที่มีชื่อเสียง ขณะเดียวกัน ก็ต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมกันนี้ นักวิเคราะห์ ได้หยิบยกกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักการเมืองหัวก้าวหน้าของไทย เคยกล่าวเมื่อปี 2561 ว่า ถึงการไม่เห็นด้วยที่ไทยไปร่วมโครงการเส้นทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่พาดผ่านลาว ไปยังสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยเสริมอภิมหาโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือวันเบลท์วันโรดของจีนแผ่นดินใหญ่ นอกจากนี้ นายธนาธร ยังได้เคยกล่าวโจมตีกองทัพไทยที่จัดสรรงบประมาณสำหรับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผลิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย นักวิเคราะห์ แสดงทรรศนะว่า ไทยจะเป็นสมรภูมิใหม่ในการช่วงชิงอิทธิพลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่สหรัฐฯ ได้พยายามปิดล้อมจีน ด้วยการจับมือเป็นเป็นพันธมิตรจตุภาคี หรือคว็อด อันประกอบด้วยสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย โดยนักวิเคราะห์บางคนเผยว่า จะเหมือน “นาโตแห่งเอเชีย” ที่ปิดล้อมจีน เช่นเดียวกับ นาโตยุโรป ที่ปิดล้อมรัสเซีย อย่างไรก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า ด้วยประวัติศาสตร์ไทยภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ซึ่งห่างไกลจากการเมืองในอุดมคติ และในทางเศรษฐกิจของไทย ก็มีจีนเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่สุด ตลอดจนเป็นแหล่งลงทุนและตลาดท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของจีน จนส่งผลให้ไทยอยู่ในระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของจีนไปแล้วนั้น ก็จะทำให้สหรัฐฯ ยากที่จะฝ่ากำแพงอุปสรรคข้างต้นได้สำหรับสมรภูมิใหม่ชิงอิทธิพลกับจีนในไทย