วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กระบุว่า... เที่ยงนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนสนิทจำนวนสองคนนานถึงสามชั่วโมงครึ่ง แน่ละ การกินข้าวคงไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้น สามชั่วโมงกว่าหมดไปกับการถกเรื่องการเมืองไทย พ.ศ. 2563 ผมคุยเรื่องการเมืองกับเพื่อนที่คบหากันมา 45 ปีแบบวิเคราะห์เสมอ ถกกันเถียงกันด้วยตรรกะและข้อมูลจริง ไม่เสียเวลาคุยเรื่องเปลือก มองภาพรวม ไม่เลือกมองเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง แล้วนำมาใช้เป็นข้ออ้างในภาพรวม power lunch สามชั่วโมงครึ่งนี้รวมประวัติศาสตร์โบราณ ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งไทยและเทศ ที่มาและที่ไป ชี้ให้เห็นว่าปรากฏการณ์การเมืองไทยในแต่ละท่อนเป็นผลมาจาก cause-effect และ butterfly effect ของประวัติศาสตร์การเมืองในภาครวมอย่างไร ผมบอกว่าการจะเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ไม่เพียงต้องรู้ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอดีต แต่ต้องสามารถ forecast อนาคตด้วย เราจึงจะสามารถรู้จริงๆ ว่าเราควรเดินไปทางไหนจึงจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองมากที่สุด หลังจากคุยกัน เพื่อนถามว่าทำไมไม่ลองเขียนสิ่งที่คุยกันให้คนอ่านรับรู้ ผมตอบว่า อยากเขียนเหมือนกันนะ แต่ลังเล เพราะประสบการณ์ในโลกโซเชียล มีเดีย ของผมค่อนข้างลุ่มๆ ดอนๆ คนอ่านที่เข้าใจผมก็เข้าใจผมอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่คิดจะเข้าใจ มักตามมาด้วยทัวร์ลง ไม่ได้กลัวทัวร์ลง แต่ถ้าคุยแบบจบด้วยทัวร์ลงอย่างเดียว ก็ไม่เสียเวลาดีกว่า ยังมีงานอย่างอื่นต้องทำ อีกอย่างมันคุยกันสั้นๆ เร็วๆ ไม่ได้ ในโลกที่เราอ่านไม่กี่บรรทัดกัน สื่อสารแบบนี้ยากถึงยากที่สุด อย่างไรก็ตาม บางครั้งผมอดทนไม่ไหวเสียบแทรกความคิดเห็นไปบ้าง ถ้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรพูด ยกอย่างเช่นเรื่องกาลเทศะเมื่ออาทิตย์ก่อน ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมที่คนไทยควรรักษาอยู่ ผมอาจจะหัวโบราณ แต่ผมยังเชื่อว่าไม่คุ้มที่ชนะศึกแต่ต้องสูญเสียคุณธรรมไป และชัยชนะทางการเมืองไม่เคยอยู่ถาวร แต่คุณธรรมควรจะอยู่ ตอนนี้เราอยู่ในห้วงเวลาของ - พูดก็ผิด ไม่พูดก็ผิด เลือกฝ่ายก็ผิด ไม่เลือกฝ่ายก็ผิด อยู่เฉยๆ ก็ผิด ทำให้ยากจะนั่งลงคุยกันอย่างเปิดอกจริงๆ ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมเทน้ำชาในถ้วยทิ้งไปก่อน พูดตรงๆ และจริงใจ ผมรับได้หากใครสามารถเปลี่ยนความคิดของผม ถ้ามันทำให้ผมฉลาดขึ้น แต่ต้องอยู่ในการคุยกันอย่างปัญญาชน ผมก็มีเรื่องจะคุยและเชื่อว่าถ้วยชาในมือแม้ยังมีชาเก่าหลงอยู่แต่ก็ยังมีพื้นที่สำหรับชาใหม่ เขียนมาก็แค่บอกว่า ผมไม่ได้หนีหน้าหรือกลัวคุยเรื่องการเมือง และก็ยังไม่ถึงกับสิ้นหวังกับสถานการณ์บ้านเมือง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าแม้ทั้งสองฝ่ายจะแตกต่างทางความคิดและวิธีการ เราก็ยังรักประเทศของเราเหมือนกัน และจุดนี้เป็นความหวังสุดท้ายที่ทำให้สองฝ่ายยอมเปิดหน้าต่างความคิดต่อกัน